Genshin Impact Wiki
Advertisement
Genshin Impact Wiki
Qiqi JP 700k Twitter Icon
หน้าเพจนี้ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
หากคุณมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โปรดคลิกที่นี่เพื่อแก้ไขและเพิ่มข้อมูล

Obsidian Codex เป็นเซ็ตอาร์ติแฟกต์ที่มีความหายากระดับ 4 ดาว และ 5 ดาว ซึ่งสามารถรับได้จากจากแดนบริสุทธิ์แห่งวิญญาณสายรุ้ง

เนื้อเรื่อง[]

Item Reckoning of the Xenogenic Reckoning of the Xenogenic

ดอกไม้ที่แกะสลักอย่างประณีตจากคริสตัลสีดำ ซึ่งดูเหมือนจะเปล่งแสงลึกลับออกมาในยามราตรี

ในยุคที่ทูตศักดิ์สิทธิ์พเนจรตกลงไปในดินแดนที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง และราชาผู้หวนคืนได้ทำลายเมืองอันหยามเกียรตินั้น
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และไม่เคยได้รับการสรรเสริญ

นั่นคืออาณาจักรแห่ง Vishap ที่เคราะห์ดีรอดพ้นจากภัยพิบัติเมื่อคราวโลกพังทลาย และถูกตัดขาดด้วยผืนดินสีแดง และท้องทะเลอันกว้างใหญ่
ขณะที่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ได้แต่ต้องเอาชีวิตรอดในทะเลอันเวิ้งว้างไปวัน ๆ พวกมันกลับได้รับอิสรภาพ จากความเมตตาของจ้าวแห่งไฟ
แต่ภูมิปัญญาของเปลวไฟกลับถูกคลื่นสีดำพรากไป ตอนนี้จึงเหลือเพียงซากร่างสีเทาเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่
เพื่อรักษาอำนาจที่เหลืออยู่ของเหล่ามังกร พวกทายาทที่ดวงตามืดบอดและโง่เขลาจึงมองว่า ความโหดเหี้ยมและเผด็จการ ถือเป็นกฎเกณฑ์ในการปกครอง
ในอาณาจักรที่ดวงอาทิตย์กำลังจะมอดดับนี้เอง มี "มนุษย์" เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มองไปยังอนาคตอันมืดมน

"ข้าเห็นแสงไฟสาดส่องลงบนผืนดินที่ไร้ราก ฝูงมังกรหมอบกราบราชาที่กำลังจะสิ้นใจ"
"ข้าเห็นปัญญาอันยิ่งใหญ่ ศิลปะอันยิ่งใหญ่ และอารยธรรมอันยิ่งใหญ่กำลังจะตาย"
"แต่วัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุดนั้นคือกฎของโลก ประวัติศาสตร์ไม่มีวันหยุดอยู่กับที่ เพียงเพราะเสียงคร่ำครวญของพวกข้า"
"แต่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่น่าสมเพชของข้ากลับไม่รู้เลยว่า ความโง่เขลาของพวกมัน รังแต่จะช่วยส่งเสริมกฎเกณฑ์อันแข็งแกร่งของประวัติศาสตร์เท่านั้น"
"บ่าวไพร่ในวันนี้จะกลายเป็นราชันของวันพรุ่งนี้ ส่วนทาสในอดีตก็จะกลายเป็นเจ้านายในอนาคต"
"เผ่าพันธุ์ของข้าตกอยู่ในวงจรแห่งความขัดแย้งที่ไม่อาจย้อนกลับได้ และทางรอดเพียงหนึ่งเดียวนั้น ก็คือการหว่านเมล็ดพันธุ์"
"บางทีในดินแดนรกร้างที่อุดมสมบูรณ์นั้น อาจยังมีดินที่ยังไม่เคยแปดเปื้อนมลทินอันฟอนเฟะอยู่ก็เป็นได้"

ดังนั้นมันจึงฝ่าเปลวเพลิงและลมพายุ เพื่อไปนำเมล็ดพันธุ์อัคนีบรรพกาล ที่ยังไม่มอดดับจากวิหารศักดิ์สิทธิ์โบราณที่อยู่ใต้แมกมา
ปราชญ์ที่ทรงปัญญาที่สุดในหมู่มังกร แบกความคาดหวังที่มีต่อเผ่าอื่น อำลาเมืองต้องห้ามอันรุ่งโรจน์ และออกเดินทางตั้งแต่นั้น

Item Root of the Spirit-Marrow Root of the Spirit-Marrow

เครื่องประดับขนนกที่สร้างขึ้นโดยเลียนแบบปีกของมังกรโบราณ บางทีอาจเป็นสิ่งยืนยันถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมเลือนไปแล้วก็ได้

ในยุคที่ไฟป่าเผาผลาญรากเหง้าของโลก เผ่าอนารยชนแผ้วถางขวากหนามเพื่อบุกเบิกป่าเขา
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และไม่เคยได้รับการสรรเสริญ

ราชาผู้ทรงปัญญาที่สุดในฝูงมังกร นำเมล็ดพันธุ์ที่แยกออกมาจากเพลิงปฐมกาลติดตัวมา เดินผ่านทุ่งหญ้าที่แผดเผา และก้าวเข้าสู่ดินแดนทุรกันดารที่ยังไม่ถูกค้นพบ
แต่ขณะที่เดินผ่านบ่อน้ำพุร้อน และหุบเขาที่ไม่ค่อยมีมังกรมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่งอกขึ้นมาจากในดินหรือถูกสร้างขึ้นมาก็ตาม ล้วนไม่อาจตอบสนองต่อความคาดหวังของมันได้เลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากที่หมอกหนาจางหายไป มันก็พบเผ่าพันธุ์ที่ผู้สร้างรักมากที่สุด แต่ก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุดเช่นกันในหุบเขาลึก
เดิมทีมันควรจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ แต่การที่เกิดมาในประเทศที่เหล่ามังกรเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พวกเขาได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ใต้ปีกของคนโบราณเท่านั้น
แม้จะสูญเสียผู้นำทาง ลืมเลือนประวัติศาสตร์ และความทรงจำในอดีตไปนานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงดันทุรังอยู่รอดมาได้ แม้จะหลงทางอยู่ในป่าเขาก็ตาม

ด้วยเพราะประทับใจต่อความแน่วแน่ ความสามัคคี และความกล้าหาญของมนุษย์ ปราชญ์แห่งมังกรจึงตัดสินใจ ที่จะมอบเมล็ดพันธุ์อัคนีแห่งปัญญาแก่พวกเขา
แต่ของขวัญที่ล้ำค่านั้นใช่ว่าจะได้มาเปล่า ๆ มันได้นำอารยธรรมมาสู่อนารยชน แต่ก็เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของพวกเขาด้วยเช่นกัน
ด้วยความที่แตกต่างจากแผนการอันศักดิ์สิทธิ์ในยุคแรกเริ่ม สิ่งที่ปราชญ์ผู้ทรงปัญญาที่สุดท่านนั้นนำมาให้ จึงเป็นเส้นทางแห่ง "วิวัฒนาการ" ที่ลบหลู่เทพเจ้า
ในสายตาอันกว้างไกลของมัน ณ จุดสิ้นสุดของเส้นทางนั้น เลือดของมนุษย์จะถูกชโลมลง บนร่างอันเน่าเปื่อยของโลกที่กำลังจะตาย

เผ่าพันธุ์และสายเลือดทั้งสองจะรวมเป็นหนึ่งเดียว อารยธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ จะปลุกชีพจรโบราณให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ดังเช่นคำพูดที่ปราชญ์ผู้ทรงปัญญาที่สุดได้กล่าวไว้ เมื่อเผชิญหน้ากับคนป่าเถื่อนคนแรกที่บินขึ้นไปบนฟ้าเพื่อพบมันที่ว่า:

"ผู้กอบกู้ที่อยู่ในบรรดาทายาทของเจ้า ซึ่งจะให้กำเนิดโลกสองใบนั้น เขาจะต้องโหดเหี้ยมดั่งอสรพิษ และเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก"
"สักวันหนึ่งเขาจะสังหารจ้าวแห่งไฟ และขึ้นครองบัลลังก์ที่เก่าแก่ที่สุด จงสรรเสริญแด่ราชาแห่งสองโลกเถิด!"

Item Myths of the Night Realm Myths of the Night Realm

เครื่องมือประกอบพิธีลึกลับที่ไม่ใช่ทั้งนาฬิกาหรือเข็มทิศ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครในโลกที่รู้ถึงประโยชน์ของมันเลย

ในยุคที่คนโบราณกลายเป็นเขื่อนกั้นคลื่นสีดำ และดินแดนลอยฟ้ากับราตรีนิรันดร์ยังคงแยกจากกัน
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และไม่เคยได้รับการสรรเสริญ

ทุกคนต่างรู้ว่า Chaac ผู้กล้าหาญและชาญฉลาด ได้นำเมล็ดพันธุ์อัคนีที่สว่างไสวชั่วนิรันดร์ มาจากนักปราชญ์ผู้ขโมยไฟ
เขาแบ่งเมล็ดพันธุ์อัคนีให้กับเพื่อนร่วมเผ่า และถ่ายทอดความลับของเปลวไฟให้กับผู้มาเยือนที่มาขอเรียนรู้
หลังจากบอกลาความไร้ระเบียบและความโง่เขลาอันยาวนาน ต้นกล้าแห่งอารยธรรมก็เติบโตขึ้นอีกครั้งท่ามกลางทุ่งหญ้ารกร้าง
แต่ภายในกำแพงยักษ์นั้น บรรดาชนเผ่ามีปีกที่อาศัยอยู่บนที่สูงกลับไม่รู้ตัวเลยว่า วงล้อแห่งโชคชะตาได้เริ่มหมุนแล้ว

ตำนานเล่าว่า มหาปราชญ์ที่อาศัยอยู่บนผืนดินที่ลอยฟ้าอย่างสงบนิ่งนั้น รู้คำตอบของทุกปัญหาในโลกมนุษย์
แต่มีอยู่สองเรื่องที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถตอบได้ นั่นก็คือจุดจบของคนเป็น และเส้นทางกลับมาของคนตาย
บางทีอาจเพราะผู้ปกครองยมโลกคือเทพราตรี ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของนักปราชญ์ในสมัยโบราณกาล
หรือไม่ก็ถ้าหากไฟที่สว่างไสวชั่วนิรันดร์ เชื่อมต่อกับระบบรากของพื้นโลกอีกครั้ง แผนการที่เขาวางไว้มานานก็จะพังพินาศ

เมื่อควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่ของเพลิงปฐมกาลได้แล้ว Chaac ผู้กล้าหาญและเพื่อนพ้องของเขา ก็ปราบมังกรร้ายผู้โหดเหี้ยมได้ในที่สุด และได้ก่อตั้งชนเผ่าแรกขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ผู้กล้าในยุคโบราณก็ไม่อาจ ฝืนต่อการพิพากษาของกาลเวลาได้ เวลานั้นไม่เคยหยุดนิ่ง เหล่าเพื่อนพ้องของเขาก็ทยอยบอกลาเขาไปทีละคนเช่นกัน
สุดท้ายแล้ว Chaac ที่ผ่านศึกมานับร้อยก็เหลืออยู่ตัวคนเดียว ส่วนเผ่าของเขาก็แตกกระจัดกระจายไปแล้ว และเรื่องราวของเขาก็ไม่ได้รับการสรรเสริญอีกต่อไป
มีเพียงในค่ำคืนที่มืดมิดที่สุดเท่านั้น เขาจึงจะได้ยินเสียงเรียกจากดินแดนอันไกลโพ้น ที่คล้ายดั่งต้องการจะจุดไฟที่ค่อย ๆ มอดลงในใจของเขา ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ในค่ำคืนสุดท้ายของชีวิต เขาปีนขึ้นไปบนยอดเขาและจุดเพลิงบรรพกาล ก่อนจะตะโกนออกมา ด้วยความหวังว่าตนจะได้พบกับสหายเก่าอีกครั้ง
แล้วเทพแห่งแดนราตรีก็ตอบรับเขาจริง ๆ ในค่ำคืนนั้น ดูเหมือนว่าผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินจะได้ยินเสียงจากอีกโลกหนึ่ง
เสียงนั้นอาจจะเป็นเสียงเพลงของแม่ที่ขับกล่อม หรืออาจเป็นเสียงกระซิบจากเพื่อนเก่า และนั่นคือเสียงร้องแรกเกิดของ Wayob ตนแรก ที่ถือกำเนิดขึ้นในอาณาจักรราตรี

Item Pre-Banquet of the Contenders Pre-Banquet of the Contenders

ดูเหมือนจะเป็นภาชนะที่สร้างขึ้นโดยการบิดและทุบหินจนเป็นรูปเป็นร่าง ไม่รู้ว่าใครกันที่มีแรงขนาดนี้

เสียงแตรที่ไม่เคยหยุดดังก้องกังวานในอาณาจักรอันร้อนแรง ในยุคสมัยที่เหล่าผู้กล้าต่อสู้กันเอง
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และไม่เคยได้รับการสรรเสริญ

เมื่อนักบวชแห่งหมอกควัน ได้จุดกองไฟที่บดบังดวงอาทิตย์ เพื่อถวายเลือดของเผ่าพันธุ์ประหลาด แด่บรรพบุรุษของเหล่าผู้กล้า และเทพเจ้าที่มองไม่เห็น
เมื่อผู้กล้าผู้ถือเปลวไฟขี่สัตว์ร้ายที่เชื่องแล้ว มาถึงป้อมปราการที่สร้างขึ้นด้วยหินยักษ์ ตามคำชี้แนะของ Wayob ในเผ่า
เมื่อสัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยอยู่ในเมืองโบราณ ที่ไม่รู้ว่าถูกสร้างขึ้นโดยใครนั้น ปีนขึ้นไปบนหอคอยที่บิดเบี้ยว และแปลกประหลาดด้วยความแตกตื่น
มีเพียงมังกรที่ฉลาดที่สุดในฝูง ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่หยุดนิ่ง และเฝ้าดูโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่และยาวนานนี้อยู่เงียบ ๆ

แม้ว่าทูตแห่งราตรีอันมืดมิดจะไม่ได้อยู่ในแผนการของมัน แต่โชคดีที่เส้นทางของ "วิวัฒนาการ" ยังคงไม่ได้เบี่ยงเบนไปเพราะเหตุนี้
หลังจากคัดเลือกและเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน ผู้กล้าของเผ่าที่มันบ่มเพาะขึ้นมา ก็ทยอยก้าวขึ้นสู่เวทีต่อสู้ทั่วทุกสารทิศ
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขานั้น จะกลายเป็นวีรชนที่รวบรวมเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดบนหินดำเข้าด้วยกัน
พันธสัญญาในนามของเขาจะชูธงแห่งดวงตะวันอันร้อนแรง และก้าวเข้าสู่เมืองในบ่อลึก ที่แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่เคยบุกทะลวงเข้ามาได้

วันนั้น เปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจากศพบนบัลลังก์ ได้ย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีแดงฉาน ราชาองค์ใหม่จะได้รับเพลิงปฐมกาล เป็นของขวัญสำหรับการขึ้นครองราชย์
ในวันนั้น เหล่ามังกรจะก้มหัวต่อหน้าราชาของทั้งสองโลกอีกครั้ง ความรู้และสมบัติที่สั่งสมมานับพันนับหมื่นปีจะเปิดกว้างต้อนรับเขา
เพราะมันรู้ว่า ศัตรูที่อยู่ในเงามืดยังไม่ได้จากไปไหน พวกมันยังคงซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกที่สุดของแดนราตรี เพื่อรอโจมตีครั้งสุดท้าย
เพราะมันรู้ว่า ทั้งเทพบนสวรรค์ และราชาของเหล่ามังกรไม่มีความสามารถพอ จึงต้องรวบรวมความรู้และพลังทั้งหมดก่อนที่วันนั้นจะมาถึง

มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะสามารถปลุกเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่แสนโง่เขลาของเขา ให้ตื่นจากความฝันเก่า ๆ ของราชาผู้เสื่อมโทรมได้
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้อารยธรรมโบราณ มีผู้สืบทอดที่เหมาะสมยิ่งกว่ามารับสืบทอด และสามารถยืนหยัดบนแผ่นดินได้ใหม่อีกครั้ง

Item Crown of the Saints Crown of the Saints

มงกุฎที่ทำจากหินออบซิเดียน ในสมัยโบราณเคยถูกนำมาใช้ในพิธีสถาปนาหัวหน้าผู้สูงศักดิ์ในเผ่า

ในยุคนั้นที่คลื่นสีดำโสโครกพวยพุ่งขึ้นมาจากขอบฟ้า และผู้กล้าที่เปรียบดั่งดวงตะวันเริ่มต้นออกเดินทาง
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และไม่เคยได้รับการสรรเสริญ

เมื่อผู้กล้าเผ่ามนุษย์บอกลาหมู่บ้านในหุบเขาลึก ก็นำพรจาก Wayob ไปยังพื้นที่ต้องห้ามซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้
มังกรยักษ์โบราณได้สูญพันธุ์ไปจากทุ่งหญ้าที่พวกมันเคยวิ่งผ่าน ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์และสายธารล้วนถูกย้อมด้วยสีใหม่
พระราชวังและวิหารที่สร้างอยู่บนยอดผาลาวาเหล่านั้น ได้สูญสิ้นประกายแสงไปแล้ว และกำลังรอคอยคำพิพากษาของวันโลกาวินาศอย่างเงียบ ๆ
ในดินแดนที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนี้ ยุคสมัยของคนโบราณก็ใกล้จะสิ้นสุดลงเต็มที
แต่ในแดนราตรีที่ไร้แสงสว่าง เหล่านักบวชยังคงโต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน เพราะตัดสินใจไม่ได้ว่า ใครจะเป็นผู้พิพากษาโทษในครั้งสุดท้ายนี้

นั่นคือผู้กล้าที่ไม่เคยล่วงรู้คำทำนายใด ๆ มาก่อน และเป็นวีรชนที่ไม่เคยถูกเขียนชื่อลงไปในแผนการใด ๆ
เมื่อเหล่าผู้นำของชนเผ่าต่าง ๆ ละทิ้งภารกิจในการกำจัดมังกรร้ายไว้เบื้องหลัง และเริ่มหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจ
เมื่อนักรบของชนเผ่าถูกโยนเข้าสู่สงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด และมองว่าอสูรที่โหดร้ายนั้นเป็นพลังที่ช่วยเกื้อหนุน
ในเวลานั้นเองที่ราชาผู้เจิดจรัสดั่งดวงตะวันยามเช้า และอบอุ่นดั่งแสงอรุณ ได้ผุดขึ้นมาจากผืนดินสีดำ
เขานำดอกไม้สีทองมาถักทอเป็นมงกุฎ และแบกดาบใหญ่ที่ทำจากหินออบซิเดียน ออกเยี่ยมเยียนชนเผ่า เผ่าแล้วเผ่าเล่า

ความขัดแย้งที่เกิดจากคมดาบ มีเพียงดาบเท่านั้นที่จะสมานมันได้ และความหลงผิดที่เกิดจากความทะเยอทะยาน ก็มีเพียงความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่กว่าเท่านั้นที่จะหยุดยั้งมันได้
แต่ผู้ที่คิดว่าตนสามารถควบคุม "วิวัฒนาการ" ได้นั้น ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผู้ที่มีพลังนั้นจะให้คำตอบอื่น นอกเหนือไปจากการปราบปรามและการเข่นฆ่าได้
ภายใต้แสงตะวัน ผู้นำของแต่ละเผ่าได้ตกลงทำพันธสัญญาสงบศึกกัน ส่วนนักบวชแห่งแดนราตรีก็ปล่อยวางความขัดแย้ง และมอบมงกุฎให้แก่เขา
รุ่งอรุณของยุคสมัยใหม่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว เมื่อแสงนั้นส่องสว่างไปทั่วทั้งแผ่นดิน แม้แต่อสูรร้ายก็ไม่อาจหลบซ่อนตัวได้อีก

ชื่อในภาษาอื่น[]

ภาษาชื่ออย่างเป็นทางการความหมายที่แท้จริง
ไทยObsidian Codex
อังกฤษObsidian Codex
จีน
(ตัวย่อ)
黑曜秘典
Hēiyào Mìdiǎn
จีน
(ตัวเต็ม)
黑曜秘典
Hēiyào Mìdiǎn
ญี่ปุ่น黒曜の秘典
Kokuyou no Hiten[!][!]
เกาหลี흑요석 비전
Heugyoseok Bijeon
สเปนCódice de ObsidianaObsidian Codex
ฝรั่งเศสCodex d'obsidienneObsidian Codex
รัสเซียОбсидиановый фолиантObsidian Folio
เวียดนามBí Điển Obsidian
เยอรมันObsidiankodex
อินโดนีเซียObsidian Codex
โปรตุเกสCódice de Obsidiana
ตุรกีObsidiyen Kodeks
อิตาลีCodice d'ossidiana

ประวัติการเปลี่ยนแปลง[]

เพิ่มเข้ามาในเวอร์ชัน 5.0

หน้าอื่น ๆ[]

Advertisement