ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างรายรับจากการชำระเงินของแพลตฟอร์ม SaaS

คู่มือนี้พูดถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสร้างรายรับจากการชำระเงิน รวมถึงวิธีต่างๆ ในการทดลองกำหนดค่าบริการ และความช่วยเหลือที่ Stripe มีให้

Connect
Connect

แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก รวมทั้ง Shopify และ DoorDash ต่างก็ใช้ Stripe Connect ในการผสานรวมการชำระเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. วิธีสร้างรายรับจากการชำระเงิน
  3. ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับค่าบริการ
  4. วิธีสร้างรายรับจากบริการอื่นๆ
  5. ความช่วยเหลือที่ Stripe มอบให้คุณได้

แพลตฟอร์มการให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS) เช่น Shopify, Xero และ Jobber ก่อตั้งธุรกิจขึ้นเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้า (เช่น การเริ่มสร้างร้านค้าออนไลน์ การจัดการด้านการเงิน หรือการนัดหมายบริการที่บ้าน) และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนเพื่อให้สิทธิ์เข้าถึงบริการดังกล่าว เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้น (ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นไปตามความต้องการของผู้ลงทุน) ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มหลายๆ รายก็เริ่มสำรวจวิธีการนำเสนอบริการอื่นๆ ที่ตนสามารถสร้างรายรับเพิ่ม ปัจจุบันนี้แพลตฟอร์มต่างๆ กำลังเพิ่มช่องทางสร้างรายรับให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้นโดยการสร้างรายรับด้วยฟีเจอร์การชำระเงินและสร้างสายงานธุรกิจใหม่ๆ

การชำระเงินมักเป็นหัวใจสำคัญในการตอบสนองความต้องการหลักของธุรกิจ ดังนั้นการผสานช่องทางการชำระเงินเข้ากับแพลตฟอร์มจึงช่วยให้คุณมอบประสบการณ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่สะดวกไปพร้อมๆ กับการลดค่าใช้จ่าย ความล่าช้า และความเสี่ยงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินเมื่อต้องเรียกเก็บเงินด้วยตัวเองได้ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าของ DocuSign ต้องการให้มีฟีเจอร์ขอรับการลงนามในสัญญาและการชำระเงินภายในขั้นตอนเดียว DocuSign จึงจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Stripe Connect เพื่อเปิดตัว DocuSign Payments ทำให้ลูกค้าสามารถเรียกเก็บเงินได้ในขณะที่ลงชื่อ นับตั้งแต่วันที่เปิดตัว DocuSign Payments ได้ประมวลผลการชำระเงินไปแล้วกว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยช่วยให้ลูกค้าได้รับเงินเร็วขึ้น พร้อมกับมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าด้วย

คู่มือนี้จะพูดถึงหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างรายรับจากการชำระเงินของแพลตฟอร์ม เริ่มตั้งแต่วิธีสร้างรายรับจากการชำระเงินเป็นครั้งแรก ไปจนถึงวิธีเรียกเก็บค่าบริการฟีเจอร์และบริการอื่นๆ โดยคุณจะได้เรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างรายรับจากการเรียกเก็บเงิน วิธีการทดลองกำหนดค่าบริการวิธีต่างๆ และความช่วยเหลือที่ Stripe มีให้

วิธีสร้างรายรับจากการชำระเงิน

โดยทั่วไปแล้ว คุณมีทางเลือกในการสร้างรายรับจากการชำระเงินอยู่ 2 ทางเลือก ได้แก่ การเรียกเก็บค่าบริการสำหรับการชำระเงินและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินจากลูกค้า หรือการทำสัญญาแบ่งรายรับร่วมกันตามข้อตกลงที่ทำไว้กับผู้ให้บริการชำระเงิน

Stripe เปิดโอกาสให้คุณสามารถรับส่วนแบ่งรายรับจากการชำระเงินออนไลน์ หรือปรับแต่งค่าบริการให้แก่ลูกค้าของคุณได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่

หากต้องการเริ่มสร้างรายรับจากการชำระเงิน คุณควรเริ่มต้นด้วยการเรียกเก็บค่าบริการสำหรับการชำระเงินและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน เนื่องจากวิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับโครงสร้างค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้ทดลองกำหนดค่าบริการและใช้แพ็กเกจรูปแบบต่างๆ ได้อีกด้วย

คุณไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับตัวเลือกการสร้างรายรับอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะจริงๆ แล้วการสร้างรายรับจากหลายช่องทางนั้นมีประโยชน์ต่อธุรกิจมากกว่า เป็นต้นว่า หากสนใจที่จะบวกกำไรส่วนเพิ่มไปกับค่าธรรมเนียมธุรกรรมในแต่ละครั้ง คุณควรนำเสนอแพ็กเกจค่าธรรมเนียมรายเดือน เพื่อให้ลูกค้ามีสิทธิ์ใช้งานฟีเจอร์การชำระเงินขั้นสูง และจะได้ไม่ต้องพึ่งพารายรับจากปริมาณการชำระเงินเพียงอย่างเดียว

ต่อไปนี้คือ 5 วิธีหลักในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงินและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินจากลูกค้า

1. เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการชำระเงินได้: รวมการชำระเงินกับฟีเจอร์พรีเมียมอื่นๆ แล้วสร้างแพ็กเกจที่มีราคาสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น Squarespace นำเสนอแพ็กเกจ 4 แบบ ซึ่งได้แก่ Personal, Business, Commerce (พื้นฐาน) และ Commerce (ขั้นสูง) โดยแพ็กเกจ Personal มีค่าบริการต่ำสุด แต่ไม่มีฟีเจอร์การชำระเงินใดๆ ให้บริการ ส่วนอีก 3 แพ็กเกจมีค่าบริการสูงกว่า แต่เปิดโอกาสให้ลูกค้าประมวลผลการชำระเงินได้

แพ็กเกจพื้นฐาน

US$10/เดือน

แพ็กเกจขั้นสูง

US$25/เดือน

เก็บเงินที่ชำระ
รับเงินบริจาค
จำหน่ายบัตรของขวัญ
การชำระเงินที่จุดขาย
จำหน่ายสิทธิ์การสมัครใช้บริการ
ส่วนลดขั้นสูง

2. บวกกำไรส่วนเพิ่มไปกับธุรกรรมแต่ละรายการ: วิธีการสร้างรายรับจากการชำระเงินอย่างตรงไปตรงมามากขึ้นวิธีหนึ่งก็คือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมจากการชำระเงินแต่ละครั้งที่ประมวลผลบนแพลตฟอร์มของคุณ

นอกจากนี้ คุณยังสร้างแผนการชำระเงินในระดับต่างๆ เพื่อรองรับการบวกเพิ่มค่าธรรมเนียมนี้ได้หลายรูปแบบด้วย เช่นเดียวกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการชำระเงินได้
เช่น หากลูกค้าซื้อแพ็กเกจการชำระเงินที่มีมูลค่าสูงกว่า ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมก็จะถูกลง

แพ็กเกจพื้นฐาน

US$10/เดือน

แพ็กเกจขั้นสูง

US$25/เดือน

อัตราค่าธรรมเนียมการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทางออนไลน์
2.9% + US$0.30 2.75% + US$0.30

3. เพิ่มค่าธรรมเนียมของฟีเจอร์การชำระเงินขั้นสูง: มุ่งนำเสนอบริการชำระเงินที่โดดเด่นไม่เหมือนใครเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้ คุณอาจนำเสนอฟีเจอร์แบบพรีเมียม เป็นต้นว่า ความคุ้มครองในกรณีที่มีการดึงเงินคืนหรือการให้ลูกค้าได้รับเงินเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น เช่น ข้อเสนอของ StyleSeat โดย StyleSeat ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านความงามมืออาชีพขยับขยายธุรกิจด้วยเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้เข้าถึงลูกค้ารายใหม่และเพิ่มรายรับ ลูกค้าสามารถเลือกฝากรายรับเข้าบัญชีธนาคารหรือบัตรเดบิตโดยมีค่าธรรมเนียมคงที่ 0.50 ดอลลาร์สหรัฐได้ทันที ไม่ต้องรอ 1-2 วันทำการ

4. เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในกรณีที่ลูกค้าใช้เกตเวย์การชำระเงินอื่น: แพลตฟอร์มหลายๆ เจ้าจะควบรวมการชำระเงินผ่านผู้ให้บริการรายเดียวเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม และเพิ่มค่าธรรมเนียมขึ้นในกรณีที่ลูกค้าเลือกใช้บริการชำระเงินบริการอื่น Shopify เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงสุด 2% (ขึ้นอยู่กับแผนการใช้งาน) หากลูกค้าประมวลผลการชำระเงินผ่านผู้ให้บริการรายอื่นที่ไม่ใช่ Shopify Payments

Shopify Payments
การวิเคราะห์การฉ้อโกง
อัตราค่าธรรมเนียมการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทางออนไลน์
2.9% + US$0.30 2.6% + US$0.30 2.4% + US$0.30
อัตราค่าธรรมเนียมการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตที่จุดขาย
2.7% + US$0 2.5% + US$0 2.4% + US$0
ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในกรณีที่ใช้ผู้ให้บริการชำระเงินรายอื่นที่ไม่ใช่ Shopify Payments
2% 1% 0.5%

5. เรียกเก็บเงินสำหรับการรายงานขั้นสูงที่ออกแบบเอง: ใช้ข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงินในทางที่สร้างสรรค์ เพื่อให้แพลตฟอร์มมีคุณค่าต่อลูกค้ามากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Shopify มีเครื่องมือที่ให้ลูกค้าสร้างรายงานที่ออกแบบเองเมื่อใช้แพ็กเกจระดับสูงสุด

ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับค่าบริการ

ไม่ว่าคุณจะเลือกสร้างรายรับจากการชำระเงินด้วยวิธีการใดก็ตาม โปรดอย่าลืมเรียกเก็บเงินให้เพียงพอต่อผลกำไรที่ตั้งเป้าไว้ พร้อมทั้งรักษาระดับความสามารถในการแข่งขัน ค่าธรรมเนียมที่คุณเรียกเก็บควรรวมคุณค่าเพิ่มเติมที่คุณมอบให้ลูกค้าและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วย โดยปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาประกอบด้วยลักษณะโมเดลค่าบริการของคู่แข่งและความแตกต่างระหว่างชุดฟีเจอร์

หากต้องการทำความเข้าใจว่าลูกค้าจะตอบรับข้อเสนอด้านการชำระเงินใหม่อย่างไร ให้ลองเริ่มต้นด้วยการทดสอบในขอบเขตเล็กๆ แทนที่จะเปิดตัวแพ็กเกจใหม่แก่ลูกค้าทุกคนพร้อมกัน โดยคุณอาจส่งอีเมลเปิดตัวฟีเจอร์การชำระเงินใหม่พร้อมรายละเอียดค่าบริการให้แก่ลูกค้ากลุ่มเล็กๆ ก่อน วิธีนี้ช่วยให้คุณติดตามความเห็นและความพึงพอใจของลูกค้าได้ดีขึ้น อีกนัยหนึ่ง คุณอาจทำการทดสอบ A/B ในหน้าค่าบริการแล้วติดตามยอดลงทะเบียน เพื่อดูว่าแพ็กเกจต่างๆ มีผลตอบรับเป็นอย่างไรก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้คุณยังควรพิจารณาปรับกลยุทธ์การสร้างรายรับจากการชำระเงินตามกลุ่มลูกค้าด้วย ตัวอย่างเช่น

  • สำหรับลูกค้ารายเล็กที่ยังไม่ได้เริ่มขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ คุณอาจพิจารณาเสนอสิทธิ์ทดลองใช้แพ็กเกจอีคอมเมิร์ซฟรี (เช่น ยกเว้นค่าธรรมเนียมเป็นเวลา 3 เดือน) เพื่อช่วยในการเริ่มต้นใช้งาน
  • สำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่มีความสำคัญ คุณควรเสนอส่วนลดหรือโปรโมชันเพื่อให้ปิดข้อเสนอได้มากขึ้น หรืออาจจะพิจารณาเสนอค่าบริการที่รวมการชำระเงินเข้ากับฟีเจอร์ที่เพิ่มคุณค่าขึ้น เช่น ระบบป้องกันการฉ้อโกง เป็นต้น
  • สำหรับลูกค้าที่มีหน้าร้านจริงหรือขายสินค้าที่จุดขาย คุณควรโปรโมตโซลูชันการชำระเงินทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยจัดโปรโมชันเกี่ยวกับอุปกรณ์ชำระเงิน (เช่น ซื้ออุปกรณ์ 1 เครื่อง แถมฟรี 1 เครื่อง)

วิธีสร้างรายรับจากบริการอื่นๆ

เมื่อคุณมีโมเดลค่าบริการสำหรับการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพแล้ว ให้ลองมองหาโอกาสการสร้างรายรับอื่นๆ เพิ่มเติม ขณะที่คุณกำลังสำรวจฟีเจอร์หรือบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการชำระเงิน อย่าลืมหาจุดที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าได้ เช่น หากคุณทราบว่าลูกค้าสนใจขยายกิจการไปทั่วโลก คุณสามารถช่วยให้ลูกค้าปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงินได้โดยเสนอวิธีการชำระเงินที่ปรับให้เข้ากับท้องถิ่นและ Adaptive Pricing ในขั้นตอนการชำระเงิน

ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับโอกาสการสร้างรายรับ 3 แบบ

โอกาสในการสร้างรายรับ
คำอธิบาย
ฟีเจอร์ที่มีให้บริการ
การขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ สนับสนุนลูกค้าของคุณในระหว่างที่ขยายธุรกิจไปทั่วโลก
  • วิธีการชำระเงินที่ใช้ได้ทั่วโลก
  • การแลกเปลี่ยนสกุลเงินแบบอัตโนมัติ
  • แสดงสกุลเงินต่างๆ ที่ยอมรับในหน้าการชำระเงิน
  • ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแก่ลูกค้าของคุณ
บริการด้านการเงิน ช่วยลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินการทางการเงิน
  • การจัดการค่าใช้จ่าย
  • บัตรองค์กร
  • บัตรสำหรับเบิกจ่าย
  • Instant Payouts
โมเดลธุรกิจใหม่ ให้ลูกค้าได้ทดลองใช้โมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ
  • การชำระเงินที่จุดขาย
  • การชำระเงินตามรอบบิล
  • การออกใบแจ้งหนี้

ความช่วยเหลือที่ Stripe มอบให้คุณได้

แพลตฟอร์มทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทมหาชนอย่าง Shopify ใช้ Stripe Connect เพื่อรับเงิน เบิกจ่ายให้แก่บุคคลที่สาม และสร้างรายรับจากการชำระเงิน คุณสามารถเปิดตัวบริการการชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว สร้างรายรับจากธุรกรรมแต่ละรายการ และให้บริการการชำระเงินแก่ลูกค้าในราคาที่แตกต่างกันได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถสร้างรายรับจากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น การออกใบแจ้งหนี้ การเรียกเก็บเงินค่าสมัครใช้บริการ หรือการชำระเงินที่จุดขายได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำได้ผ่านการผสานการทำงานแบบรวมเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งการสร้างรายรับจากบริการเหล่านี้ช่วยให้คุณประมวลผลการชำระเงินบนแพลตฟอร์มได้ในปริมาณมากขึ้น สร้างรายรับเพิ่มขึ้น และปรับข้อเสนอสำหรับลูกค้าให้น่าสนใจมากขึ้น

Stripe Connect ให้คุณสร้างรายรับและนำเสนอฟีเจอร์ดังต่อไปนี้ต่อลูกค้า

  • การชำระเงินออนไลน์: เปิดโอกาสให้ลูกค้ารับชำระเงินได้ในไม่กี่นาที โดยสามารถสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ปรับให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจ ปกป้องการชำระเงินจากการฉ้อโกง และปรับประสบการณ์การชำระเงินให้เข้ากับท้องถิ่นเพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าในต่างประเทศ
  • การชำระเงินที่จุดขาย: ช่วยลูกค้าขยับขยายธุรกิจด้วยการเปิดหน้าร้านจริงโดยใช้ระบบการชำระเงินที่จุดขาย Stripe Terminal ช่วยให้ลูกค้าจัดการการขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้ในที่เดียวผ่านการผสานการทำงานเพียงหนึ่งเดียว ส่งผลให้การรายงานและการกระทบยอดสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น
  • การชำระเงินตามรอบบิล: เปิดโอกาสให้ลูกค้าทดลองใช้โมเดลธุรกิจใหม่ๆ โดยนำเสนอแพ็กเกจการชำระเงินตามรอบบิลและการเรียกเก็บเงินที่ยืดหยุ่นด้วย Stripe Billing โดยลูกค้าสามารถปรับแก้ค่าบริการได้ (ทดสอบการเรียกเก็บเงินแบบครั้งเดียว แบบเรียกเก็บตามรอบ แบบตามการใช้งาน หรือตามระดับ) นอกจากนี้ยังเสนอโปรโมชันและช่วงทดลองใช้งานฟรีได้อีกด้วย ลูกค้าสามารถลดอัตราการเลิกใช้งานได้ด้วยตรรกะการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าอัจฉริยะเพื่อขยายธุรกิจไปทั่วโลกได้ง่ายดาย และยอมรับวิธีการชำระเงินได้ทุกประเภท
  • ใบแจ้งหนี้แบบตามรอบและแบบครั้งเดียว ช่วยให้ลูกค้าได้รับเงินเร็วขึ้นด้วยการออกใบแจ้งหนี้แบบผสานการทำงาน ลูกค้าสามารถส่งใบแจ้งหนี้แบบตามรอบสำหรับการชำระเงินตามรอบบิลหรือใบแจ้งหนี้แบบใช้ครั้งเดียวที่รองรับบัตรเครดิตและบัตรเดบิตในตัว เพื่อปรับแต่งให้ตรงกับแบรนด์และใช้อัตราแบบรวมหรือไม่รวมภาษีในพื้นที่ต่างๆ ได้
  • บัตรชำระเงิน: สร้าง แจกจ่าย และปรับแต่งบัตรเครดิตทั้งแบบดิจิทัลและบัตรจริงให้แก่ลูกค้าได้ด้วย Stripe Issuing คุณสามารถออกแบบบัตรที่มีแบรนด์ กำหนดการควบคุมการใช้จ่ายแบบไดนามิก และเปิดให้ลูกค้าเติมเงินในบัตรด้วยบัญชีธนาคารของตัวเองได้
  • การรายงานและการวิเคราะห์ Stripe Sigma มีตัวเลือกการรายงานที่หลากหลายซึ่งคุณสามารถนำไปผสานการทำงานกับแพลตฟอร์มของคุณเองได้ ตั้งแต่ข้อมูลสรุปที่พร้อมใช้งานได้ทันที ไปจนถึงรายงานที่ปรับแต่งเองได้ คุณสามารถดึงข้อมูลจาก Stripe API แล้วเพิ่มข้อมูลดังกล่าวลงในฟีเจอร์การรายงานได้โดยตรง หรือจะนำลูกค้าไปยังแดชบอร์ด Stripe เพื่อให้ดูข้อมูลสำหรับการชำระเงินโดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน

เราหวังว่าคู่มือนี้จะทำให้คุณเห็นภาพรวมกว้างๆ เกี่ยวกับวิธีสร้างช่องทางรายรับเพิ่มเติมจากการชำระเงินและบริการทางการเงินอื่นๆ รวมถึงความช่วยเหลือที่ Stripe มีให้

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Connect สำหรับแพลตฟอร์ม โปรดอ่าน Stripe Docs หรือติดต่อฝ่ายขายของเรา แต่หากต้องการเริ่มรับชำระเงินทันที โปรดลงทะเบียนบัญชี

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Connect

Connect

ใช้งานจริงภายในไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะต้องเสียเวลาหลายไตรมาส สร้างธุรกิจการชำระเงินที่สร้างผลกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Connect

ดูวิธีกำหนดเส้นทางการชำระเงินระหว่างหลายฝ่าย