0% found this document useful (0 votes)
30 views

Health Service System Standards Year 64

Health and Safety manual for construction of new projects

Uploaded by

guillemar
Copyright
© © All Rights Reserved
We take content rights seriously. If you suspect this is your content, claim it here.
Available Formats
Download as PDF, TXT or read online on Scribd
0% found this document useful (0 votes)
30 views

Health Service System Standards Year 64

Health and Safety manual for construction of new projects

Uploaded by

guillemar
Copyright
© © All Rights Reserved
We take content rights seriously. If you suspect this is your content, claim it here.
Available Formats
Download as PDF, TXT or read online on Scribd
You are on page 1/ 44

คู่มือมาตรฐาน

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
(สถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน)
--------------------------------------------------
องค์ประกอบมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ
มาตรฐานนี้ใช้สาหรับการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาและการประเมินสถานพยาบาล ซึ่งสามารถใช้ได้กับ
สถานพยาบาลทุกระดับ โดยเนื้อหาในมาตรฐานครอบคลุมใน 9 ด้าน ดังนี้
ด้านที่ 1 ด้านการบริหารจัดการ
ด้านที่ 2 ด้านการบริการสุขภาพ
ด้านที่ 3 ด้านอาคาร สถานที่และสิ่งอานวยความสะดวก
ด้านที่ 4 ด้านสิ่งแวดล้อม
ด้านที่ 5 ด้านความปลอดภัย
ด้านที่ 6 ด้านเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
ด้านที่ 7 ด้านระบบสนับสนุนบริการที่สาคัญ
ด้านที่ 8 ด้านสุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ
ด้านที่ 9 ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

ด้านที่ 1
ด้านการบริหารจัดการ

กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กาหนดมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรฐาน
ด้านการบริหารจัดการสถานพยาบาลตามมาตรฐานสถานพยาบาลภายใต้กฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลพ.ศ.
2541 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยเน้นการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้รับบริการภายใต้การบริหาร
จัดการระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพของสถานพยาบาล ซึ่งมีรายละเอียดกิจกรรมที่ผู้ประเมินสามารถเทียบเคียง
กิจกรรมที่สถานพยาบาลดาเนินการอยู่จริงได้ในแบบประเมิน ดังนี้
1) นโยบายการจัดการคุณภาพ
1.1การสื่อสารจากผู้นา
ผู้ บ ริ ห ารทุกระดับ ทาหน้ าที่เป็ น ตัว แทนการเปลี่ ยนแปลงและการสื่ อสารมุ่งผลสั ม ฤทธิ์ โดยการริเริ่ ม
ผลักดัน ให้ความรู้ สนับสนุน ปลูกฝังค่านิยม และการพัฒนาทักษะการทางาน เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การ
สร้างคุณค่าและการตอบสนองความต้องการของประชาชนผู้รับบริการด้วยวิธีการบริหารจัดการที่ ทันสมัย เป็นที่
ยอมรับในองค์กรโดยอาจการนาเทคโนโลยีสารสนเทศหรือเครื่องมือทางการบริหารจัดการที่เหมาะสมมาใช้ในการ
พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการทางานให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง รวมไปถึงการทาหน้าที่ในแก้ไขปัญหา
อุปสรรคทั้งในระดับนโยบายและระดับการปฏิบัติที่มีผลต่อการพัฒนาสถานพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจประเมิน
ได้ในรูปแบบหรือลักษณะของกิจกรรมการกาหนดเปูาหมาย นโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนงานในการบริหาร
สถานพยาบาล กระบวนการธรรมาภิบาลในการบริหารสถานพยาบาล การจัดการด้านคุณภาพโดยการมีส่วนร่วม
จากบุคลากรทุกระดับในองค์กร การรับฟังและตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือผู้รับบริการ หรือชุมชน รวมทั้ง
การทบทวนแผนการและพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า1/56


1.2การมีส่วนร่วมของบุคลากร
โดยบุคลากรทุกระดับ มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาเปูาหมาย นโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนงานของ
องค์กรและการจัดการด้านคุณภาพในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง มีการสื่อสารแบบ 360 องศาที่ทั่วถึงในองค์กร
เพื่อให้การจัดการด้านคุณภาพเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน มีการจัดทาแผนพัฒนาบุคลากร เพื่อให้การพัฒนา
บุคลากรเป็นไปอย่างเหมาะสม ต่อเนื่อง และสอดคล้องกับความต้องการพัฒนาของสถานพยาบาล
1.3การมีส่วนร่วมของชุมชน/ผู้รับบริการ
สถานพยาบาลมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนหรือผู้รับบริการ ในการเสนอนโยบาย กิจกรรม
การสื่อสาร ข้อแนะนา ข้อร้องเรียน เพื่อการพัฒนาคุณภาพและการบริหารจัดการในสถานพยาบาล
ทั้งนี้ อาจสังเกตการมีส่วนร่วมของชุมชน /ผู้รับบริการ/ในการพัฒนาคุณภาพ ในด้านต่างๆ เช่น
1) ปัจจัยด้านหน่วยบริการ เช่น การเปิดโอกาสให้ชุมชน/ผู้รับบริการ เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของ
สถานพยาบาล เสนอความเห็น ข้อเสนอแนะ ด้านนโยบายและแผนพัฒนาคุณภาพระบบบริการอย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งการสื่อสารผ่านช่องทางใดๆที่เชื่อถือได้ เช่น ผ่านผู้นาชุมชน หรือ อาสาสมัครสาธารณสุข
2) ปัจจัย ด้านชุมชน/ผู้รับบริ การ สามารถนาเสนอความต้องการบริการสุขภาพและความพึงพอใจใน
บริการ ความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของสถานพยาบาล มีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารจัดการด้านคุณภาพ มีระบบใน
การรักษาสิทธิของผู้ปุวย มีส่วนร่วมในการดาเนินกิจกรรมของสถานพยาบาลทั้งในหรือนอกสถานพยาบาล
3) ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและโรงพยาบาล เช่น สถานพยาบาลมีโครงการหรือสนับสนุน
การมีส่วนร่วมของชุมชน/ผู้ร้บบริการ ในกิจกรรมต่างๆ ของสถานพยาบาล การรักษาสิทธิผู้ปุวย การจัดกิจกรรมใน
ชุมชน การดูแลต่อเนื่องในชุมชน
2) กระบวนการคุณภาพ คือ กระบวนการที่สร้างความมั่นใจให้ผู้รับบริการเมื่อมารับบริการจะได้รับ
บริการที่ดี ถูกต้อง ทันเวลาและมีมาตรฐาน ประกอบด้วยแนวทางการประเมินใน 2 มิติสาคัญ ที่ให้ความสาคัญต่อ
การทาให้มาตรฐานเข้าไปอยู่ในชีวิตประจาวันของการให้บริการในโรงพยาบาล คือ 1) คุณภาพบริการและระบบ
สนับสนุนบริการ และ 2) คุณภาพการบริหารสถานพยาบาล
2.1 คุณภาพบริการและระบบสนับสนุนบริการ ประกอบด้วย
2.1.1 กระบวนการดูแลผู้ป่วย โดยประเมินจากการให้บริการ ณ จุดบริการ ดังนี้
• การเข้าถึงและเข้ารับบริการ (Access & Entry) กล่าวคือ ทีมผู้ให้บริการสร้างความมั่นใจว่า
ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงบริการที่จาเป็นได้ง่าย กระบวนการรับผู้ปุวยเหมาะกับปัญหาสุขภาพ/ความต้องการของ
ผู้ปุวยทันเวลา มีการประสานงานที่ดีภายใต้ระบบและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมและมีประสิทธิผล
• การประเมินผู้ปุวย (Patient Assessment) โดยการประเมินในระหว่างกระบวนการว่าผู้ปุวยทุก
รายได้รับการประเมินความต้องการและปัญหาสุขภาพอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลาและเหมาะสม
• การวางแผนการดูแลผู้ปุวย (Planning of Care) ทีมผู้ให้บริการมีการจัดทาแผนการดูแลผู้ปุวยที่มี
การประสานกันอย่างดีและมีเปูาหมายที่ชัดเจนสอดคล้องกับปัญหา/ความต้องการด้านสุขภาพของผู้ปุวย
• การวางแผนจาหน่าย (Discharge Planning) มีระบบการวางแผนจาหน่ายผู้ปุวยเพื่อให้ผู้ปุวยหรือ
ญาติและครอบครั ว สามารถดูแลตนเองหรือได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการ
หลังจากจาหน่ายจากโรงพยาบาล
2.1.2 ผลลัพธ์จากการดูแลผู้ป่วย โดยสังเกตหรือประเมินจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ปุวย ดังต่อไปนี้

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า2/56


• การดูแลทั่วไป (General Care Delivery) ทีมผู้ให้บริการสร้างความมั่นใจว่าจะให้การดู แลผู้ปุวย
อย่างทันท่วงที ปลอดภัย เหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ ที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ปุวยเกิดความสุขสบาย
หรือทุกข์ทรมานน้อยที่สุด รวมทั้งญาติได้รับคาอธิบายกระบวนการรักษาพยาบาลที่จาเป็น
• การดูแลผู้ปุวยและการให้บริการที่มีความเสี่ยงสูง (Care of High-Risk Patients and Provision
of High-Risk Services) ทีมผู้ให้บริการสร้างความมั่นใจว่าจะให้การดูแลผู้ปุวยที่มีความเสี่ยงสู งและให้บริการที่มี
ความเสี่ยงสูงอย่างทันท่วงที ปลอดภัยเหมาะสม เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ รวมทั้งการรับและส่งต่อผู้ปุวยที่มี
มาตรฐาน
• ผู้ปุวยได้รับบริการครบถ้วนตามกระบวนการรับไว้รักษาและเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ เช่น
การให้การพยาบาล การดูแลโภชนาการ การให้ยาตามแผนการรักษา การได้รับรังสีวินิจฉัยตามความจาเป็น การให้
ยาระงับความรู้สึกตามแผนการรักษา การฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการให้สุขศึกษาเพื่อการมีพฤติกรรม
สุขภาพที่ดี เป็นต้น
• การให้ข้อมูลและเสริมพลังแก่ผู้ ปุวย/ครอบครัว (Information and Empowerment for
Patients/Families) โดยทีมผู้ให้บริการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ สภาวะสุขภาพแก่ผู้ปุวย/ ครอบครัว และจัด กิจกรรมที่
วางแผนไว้เพื่อเสริมพลังผู้ปุวย/ครอบครัว ให้มีความสามารถและรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพของตนเอง รวมทั้ง
เชื่อมโยงการสร้างเสริมสุขภาพเข้าในทุกขัน้ ตอนของการดูแล
2.1.3 ภาพลักษณ์คุณภาพบริการของสถานพยาบาล โดยสังเกตหรือประเมินจากการให้บริการ เช่น
• แบบประเมิน ความพึงพอใจผู้ รับบริการ ที่ มีต่อการให้ บริการที่ตอบสนองต่อความต้องการที่
จาเป็นและประสบการณ์ด้านสุขภาพ (Need & Experience of Patients), มาตรฐานผู้ให้บริการตามวิชาชีพ
ความปลอดภัยในสถานพยาบาล รวมทั้ง การจัดการด้านสุขอนามัยและความเสี่ยงด้านสุขภาพ
• การดูแลต่อเนื่อง (Continuity of Care) ทีมผู้ให้บริการสร้างความร่วมมือและประสานงาน
เพื่อให้มีการติดตามและดูแลผู้ปุวยต่อเนื่องที่ให้ผลดี สร้างความประทับใจแก่ผู้ปุวยและครอบครัว
• สถานพยาบาลปฏิบัติตามแนวทางคุณภาพระบบบริการที่ครบวงจรที่ควรมีอยู่ ตั้งแต่กระบวนการ
แรกรับ (Accept) การเข้าถึงการรักษาพยาบาล (Access) การดูแลที่เหมาะสมกับสภาพอาการ (Appropriate)
สมรรถนะของผู้ให้บริการ (Competency) ความต่อเนื่องของการดูแลในสถานพยาบาล (Continuity) บริการที่
ครอบคลุมอาการความเจ็บปุวย (Coverage) ประสิทธิภาพของกระบวนการดูแลรักษา (Effective) ประสิทธิผลที่
เกิดขึ้นกับอาการเจ็บปุวย (Efficient) การได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม (Equity) การเคารพในสิทธิมนุษยชน
(Humanize Responsive) ความปลอดภัย (Safety) และการจัดการที่เหมาะสมกับเวลา (Timelines)
2.1.4 สวัสดิการผู้ป่วยและบุคลากร เช่น
 ผู้ปุ วยได้รับ การดูแลที่ครอบคลุมตามสิ ทธิการรักษาพยาบาล รวมทั้งได้รับการคุ้มครองสิ ทธิ
ผู้บริโภคด้านบริการสุขภาพตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
 ผู้ปุวยและญาติได้รับการส่งเสริมกิจกรรมสันทนาการหรือกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพองค์รวมใน
ระหว่างเข้ารับการรักษาพยาบาล (ถ้ามี)

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า3/56


 บุคลากรผู้ปฏิบัติงานได้รับการพัฒนาศักยภาพที่เหมาะสมกับการปฏิบัติงานในสถานพยาบาล
โดยมีระบบการสื่อสารที่เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้รับบริการสามารถแสดงความคิดเห็นต่อ การพัฒนาระบบบริการ
ของสถานพยาบาลได้อย่างเปิดเผย ทั้งกระดานแสดงความคิดเห็น กล่องรับความคิดเห็น และ/หรือ ช่องทางสื่อ
อิเลกทรอนิกส์
2.2 คุณภาพการบริหารสถานพยาบาล โดยสังเกตหรือประเมิน ระบบการบริหารสถานพยาบาล
ดังต่อไปนี้
2.2.1 การบริหารความเสี่ยง ได้แก่
2.2.1.1 สถานพยาบาลมีระบบการประเมินคุณภาพการดูแลผู้ปุวย เช่น มีการทบทวนสภาวะ
และประวัติการรักษาของผู้ปุวยจากเวชระเบียน
2.2.1.2 สถานพยาบาลมีการติดตามดูแลผู้ปุวยที่ต้องเข้ารับการรักษาแบบค้างคืนอย่างต่อเนื่อง
และใกล้ชิด (Bedside Review)
2.2.1.3 สถานพยาบาลมีระบบการดักจับปัญหาและพัฒนาแนวทางแก้ไขปูองกันการเกิดปัญหา
ซ้า รวมทั้งมีแนวทางการโต้ตอบปัญหาหรือภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ
2.2.1.4 สถานพยาบาลมีแนวทางปฏิบัติ (Guideline of Practice) ในการจัดการปัญหาหรือ
ภาวะฉุกเฉินทางการดูแลรักษาพยาบาลที่ผู้ให้บริการสามารถปฏิบัติตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.2.2 การกากับดู แลด้ านวิชาชีพ คือ สถานพยาบาลมีแนวทางการดูแลผู้ปุวยเฉพาะโรค (Proxy
Disease) ที่สามารถบ่งชี้ถึงคุณภาพการดูแลผู้ปุวยในแต่ละขั้นตอนของการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ
2.2.3 การควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ ได้แก่
2.2.3.1 สถานพยาบาลมีระบบหรือวิธีการควบคุมและปูองกันการติดเชื้อตามมาตรฐานสากลทั่ว
ทั้งสถานพยาบาล
2.2.3.2 บุคลากรของสถานพยาบาลได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะการควบคุมและปูองกัน
การติดเชื้อตามมาตรฐานสากล
2.2.4 ระบบเวชระเบียน ได้แก่
2.2.4.1 มีระบบการจัดการเวชระเบียนที่เป็นมาตรฐาน
2.2.4.2 กาหนดนโยบายการเข้าถึงข้อมูลผู้ปุวย การรักษาความลับผู้ปุวย
2.2.5 สิ่งแวดล้อมในสถานพยาบาลและในการดูแลผู้ป่วย ได้แก่
2.2.5.1 สถานพยาบาลมีการสร้าง พัฒนา หรือปรับปรุง ภูมิทัศน์หรือสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
สาหรับทั้งผู้ปุวย ญาติ รวมทั้งบุคลากรผู้ให้บริการ
2.2.5.2 สถานพยาบาลมีร ะบบหรื อวิธีการปูองกันอัน ตรายที่อาจมาถึงผู้ ปุว ยหรือบุค ลากรผู้
ให้บริการ
2.2.5.3 สถานพยาบาลมีระบบเชื่อมโยงและ/หรือวิธีการติดต่อประสานงานกับส่วนราชการที่มี
หน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่
2.2.5.4 สถานพยาบาลมีนโยบายส่งเสริมสภาพแวดล้อมและบรรยากาศ รวมทั้งระบบบริการที่
เป็นมิตร (friendly service) สาหรับผู้ปุวยและญาติ
2.2.6 ระบบบริหารจัดการยา ได้แก่

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า4/56


2.2.6.1 สถานพยาบาลมีระบบบริหารจัดการยาที่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและมาตรฐานที่
เกี่ยวข้อง
2.2.6.2 สถานพยาบาลมีแนวทางปฏิบัติการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Reasonable Drug Use;
RDU) ทั่วทั้งองค์กรที่เชื่อมโยงถึงระดับชุมชนและครัวเรือน
2.2.7 การตรวจทดสอบทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่
2.2.7.1 สถานพยาบาลมี ร ะบบห้ องปฏิ บั ติก ารเพื่ อ การวิ นิ จฉั ย โรคที่ เ ป็ นไปตามมาตรฐานที่
เกี่ยวข้อง
2.2.7.2 สถานพยาบาลมีแนวทางปฏิบัติการสื่อสาร ให้ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ปุวย
หรือญาติเกี่ยวกับการตรวจทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรค
2.2.7.3 สถานพยาบาลมีระบบปฏิบัติการรายงานผลการตรวจทดสอบเพื่อวินิจฉัย โรคที่อานวย
ความสะดวกให้แก่ผู้ปุวยหรือญาติไม่ต้องนาหรือถือเอกสารไปพบแพทย์ด้วยตนเอง
2.2.7.4 สถานพยาบาลมี ก ารพั ฒ นาศั ก ยภาพบุ ค ลากรผู้ ป ฏิ บั ติ ง านการตรวจทดสอบเพื่ อ
วินิจฉัยโรค
2.2.8 การเฝ้าระวังโรค ได้แก่
2.2.8.1 สถานพยาบาลมีระบบหรือกลไกเฝูาระวังภัย หรือความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นใน
สถานพยาบาล
2.2.8.2 สถานพยาบาลมีระบบหรือกลไกเฝูาระวังโรคในลักษณะที่เป็นการทางานร่วมกับชุมชนที่
เป็นไปตามมาตรฐานระบาดวิทยา
2.2.8.3 สถานพยาบาลมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างระบบเตือนภัยสุขภาพของชุมชน
2.2.9 การทางานกับชุมชน เช่น
2.2.9.1 มีผู้แทนของสถานพยาบาลในระบบการดูแลสุขภาพปฐมภูมิ หรือ นโยบายการพัฒนา
คุณภาพชีวิตระดับอาเภอ (พชอ.)
2.2.9.2 มีระบบการทางานสนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขนักจัดการสุขภาพชุมชน
2.2.9.3 สถานพยาบาลมีกระบวนการทางานร่วมกับชุมชนในระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิอย่าง
เป็นมิตรที่สอดคล้องตามภูมิปัญญาและวิถีถิ่น
2.2.9.4 สถานพยาบาลมีระบบหรือกลไกสนับสนุนการทางานของอาสาสมัครสาธารณสุข รวมทั้ง
พนักงานสาธารณสุขต่างด้าว ตลอดจนการทางานร่วมกับองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ (NGO) ที่มีภารกิจด้านสุขภาพ (ถ้ามี)
2.2.9.5 สถานพยาบาลมีส่วนร่วมในกระบวนการเสริมสร้างผู้นาการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม
สุขภาพที่พึงประสงค์ในชุมชน
2.2.9.6 สถานพยาบาลมีการดาเนินกิจกรรมสร้างสรรค์หรือสอดแทรกความรู้ด้านสุขภาพ หรือ
จัดบริการตรวจสุขภาพประชาชน โดยการเข้าร่วมกิจกรรมตามประเพณี วัฒนธรรมชุมชน
3) ผลลั พ ธ์ ข องการจั ด การคุ ณ ภาพ โดยสั ง เกตหรื อ ประเมิ น ผลลั พ ธ์ ข องการจั ด การคุ ณ ภาพของ
สถานพยาบาล ดังต่อไปนี้
3.1 ความพึงพอใจและความมั่นใจของผู้รับบริการ/ประชาชน เช่น

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า5/56


3.1.1 สถานพยาบาลมี ก ารแสดงผลการประเมิ น ความพึ ง พอใจของประชาชนที่ มี ต่ อ
สถานพยาบาลทั้งในภาพรวมและรายจุดบริการ
3.1.2 สถานพยาบาลมีการรายงานผลการปรับปรุงตามคาแนะนาผู้รับบริการ
3.1.3 สถานพยาบาลสื่อสารหรือแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการ
พัฒนาคุณภาพบริการของสถานพยาบาล
3.1.4 สถานพยาบาลมีแนวทางการเสริมสร้างความมั่นใจของผู้รับบริการและประชาชน เช่น
มีการจัดทาแผนผังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา มีการซ้อมแผนอัคคีภัยประจาปี มี การสื่อสารความปลอดภัยผู้ปุวยใน
สถานพยาบาล มีการแสดงสื่อสัญลักษณ์ให้ผู้รับบริการเข้าใจและสามารถเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลได้อย่าง
ถูกต้อง มีการแจ้งให้ทราบถึงระบบการร้องเรียนเมื่อไม่ได้รับบริการที่เป็นมิตรหรือเป็นธรรม รวมทั้งมีวิธีการย้า
เตือนความเชื่อมั่นในมาตรฐานที่สถานพยาบาลได้รับการรับรอง เป็นต้น
3.2 ความสุข ของบุค ลากรในสถานพยาบาล สถานพยาบาลคานึง ถึงการพัฒ นาคุ ณภาพบุ คลากร
คุณภาพชีวิตการทางาน และความเป็นอยู่ เช่น
3.2.1 สถานพยาบาลมีนโยบายเสริมสร้างความสุขและความพึงพอใจในการทางานของบุคลากร
ที่สอดคล้องกับความจาเป็นด้านการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาล
3.2.2 สถานพยาบาลมีร ะบบการสื่ อสารภายในที่ส นับสนุนให้ บุคลากรสามารถแสดงความ
คิดเห็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาลได้อย่างเปิดเผย ทั้งกระดานแสดงความคิดเห็น กล่องรับความคิดเห็น
และ/หรือ ช่องทางสื่ออิเลกทรอนิกส์
3.2.3 สถานพยาบาลมีนโยบายการเสริมสร้างที่ทางานสุขภาพดี (Healthy Workplace)
3.2.3 สถานพยาบาลมีกระบวนการเสริมแรงการทางานและวัดประเมินความสุขในการทางาน
ของบุคลากร (Happinometer) หรือ เครื่องมือประเมินคุณภาพชีวิตการทางานอื่นๆ (ถ้ามี)
3.3 ชื่อเสียงของสถานพยาบาล สถานพยาบาลให้ความสาคัญต่อการสร้างและธารงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ที่ดี
ของคุณภาพบริการ รวมทั้งระบบบริหารจัดการที่ส่งเสริมขีดความสามารถและความทันสมัยของการให้บริการ
ประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่รับผิดชอบดูแล โดยอาจเข้าสู่กระบวนการประกวดคุณภาพบริการ สร้างหรือพัฒนา
รูปแบบบริการใหม่ๆ เข้าร่วมในกิจกรรมเครือข่ายต่างๆของชุมชน รวมทั้งมีการประเมินติดตามภาพลักษณ์และ
ชื่ อ เสี ย งของสถานพยาบาลจากการเปลี่ ย นแปลงจ านวนผู้ รั บ บริ ก ารที่ ขึ้ น ทะเบี ย นสถานพยาบาลตามสิ ท ธิ
หลักประกันสุขภาพ ซึ่งสถานพยาบาลสามารถแสดงรางวัลคุณภาพมาตรฐานที่สถานพยาบาลได้รับ คาชื่นชมหรือ
กิ ต ติ ก รรมประกาศต่ า งๆ ความร่ ว มมื อ อย่ า งเข้ ม แข็ ง จากชุ ม ชน หรื อ น าเสนอภาพลั ก ษณ์ ที่ ดี ที่ ป รากฏใน
สื่อสารมวลชนต่างๆ ต่อประชาชนผู้มารับบริการและต่อสาธารณะชน

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า6/56


ด้านที่ 2
ด้านการบริการสุขภาพ

ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การกาหนดลักษณะของสถานพยาบาลและมาตรฐานซึ่งได้รับการ


ยกเว้นไม่ต้องอยู่ ในบั งคับ ตามกฎหมายว่าด้ว ยสถานพยาบาล มีทั้งหมด 3 ฉบับ เนื้อหาในประกาศฯ ได้ระบุ
รายละเอียดลักษณะและมาตรฐานของสถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ปุวยไว้ค้างคืน ดังนี้
1. ให้สถานพยาบาลต้องมีความปลอดภัย มีความสะดวก และเหมาะสมต่อผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ใน
การประกอบวิชาชีพตามประเภทและสาขานั้นๆ
2. สถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ปุวยไว้ค้างคืน ต้องได้มาตรฐานดังต่อไปนี้
2.1 จัดให้มีเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ตามแต่ละแผนก หรือประเภทการให้บริการตาม
หมวด 2 แห่งกฎกระทรวงกาหนดชนิดและจานวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยา และเวชภัณฑ์หรือยานพาหนะที่จาเป็น
ประจาสถานพยาบาล พ.ศ. 2558
2.2 ผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะต้องได้มาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือการ
ประกอบโรคศิลปะที่สภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการวิชาชีพกาหนดหรือประกาศกระทรวงสาธารณสุขกาหนด
2.3 จัดให้มีมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ ดังต่อไปนี้
(ก) ด้านการบริหารจัดการ
(ข) ด้านการบริการสุขภาพ
(ค) ด้านอาคาร สถานที่ และสิ่งอานวยความสะดวก
(ง) ด้านสิ่งแวดล้อม
(จ) ด้านความปลอดภัย
(ฉ) ด้านเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
(ช) ด้านระบบสนับสนุนบริการที่สาคัญ
(ซ) ด้านสุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ
(ฌ) ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
3. สถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ปุวยไว้ค้างคืนประเภททั่วไป ได้แก่สถานพยาบาลที่ให้บริการด้านการ
รักษาพยาบาลแก่ผู้ปุวยด้วยโรคทั่วไป มิได้จากัดเฉพาะโรคใดโรคหนึ่ง โดยต้องประกอบด้วยหน่วยบริการและ
ระบบสนับสนุนการให้บริการดังต่อไปนี้
3.1 แผนกเวชระเบียน
3.2 แผนกผู้ปุวยนอก
3.3 แผนกผู้ปุวยใน
3.4 แผนกผู้ปุวยฉุกเฉิน
3.5 แผนกเภสัชกรรม
3.6 ระบบรับส่งผู้ปุวยฉุกเฉิน
3.7 ระบบควบคุมการติดเชื้อ
3.8 ระบบไฟฟูาสารอง
3.9 ระบบน้าสารอง
3.10 จัดให้มีบริการชันสูตร
3.11 จัดให้มีบริการรังสีวิทยา
3.12 แผนกบริการ หรือหน่วยบริการ หรือระบบสนับสนุนการให้บริการอื่น

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า7/56


กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ จึงได้จัดทาเกณฑ์มาตรฐานตามแนวทางและข้อกาหนดที่
ระบุไว้ในประกาศที่เกี่ยวข้อง โดยทาการประเมินมาตรฐานสถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ปุวยไว้ค้างคืนแยกตาม
ประเภทของสถานพยาบาล โดยสถานพยาบาลแต่ละประเภทจะมีรายละเอียดของมาตรฐานดังต่อไปนี้
(1) โรงพยาบาลทั่วไป
1.โรงพยาบาลต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะในสถานพยาบาล เครื่องมือ เครื่องใช้
ยาและเวชภัณฑ์ทั่วไปที่จาเป็นประจาหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการในจานวนที่เหมาะสมและ
เพียงพอ ดังต่อไปนี้
จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะที่ได้มาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือ 1.1
การประกอบโรคศิลปะที่สภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการวิวชาชีพกาหนดหรือประกาศกระทรวงสาธารณสุขกาหนด
เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ อ่างฟอกมือชนิดไม่ มีเครื่องมือ เครื่องใช้ทั่วไปในแต่ละหน่วยบริการ 1.2
ใช้มือเปิดปิดน้า ภาชนะบรรจุมูลฝอยทั่วไป และภาชนะบรรจุมูลฝอยติดเชื้อ
เครื่องมือ เครื่อ 1.3งใช้ ยาและเวชภัณฑ์ ที่ต้องจัดให้มีในแต่ละหน่วยบริการต้องเหมาะสมกับ
ลักษณะการให้บริการ
อนย้ายผู้ปุวยมีรถเข็นนอนและรถเข็นนั่งสาหรับเคลื่ 1.4
2. แผนกเวชระเบียน จัดให้มี ตู้หรือชั้นหรืออุปกรณ์เก็บเวชระเบียน ที่มั่นคง ปลอดภัย เวชระเบียนจัดให้
เป็นระเบียบ สามารถค้นหาได้ง่าย หากมีการเก็บเวชระเบียนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และจัดให้มีระบบข้อมูล
สารองเพื่อปูองกันข้อมูลสูญหาย
3. แผนกผู้ปุวยนอก จัดให้มี
3.1 ชุดตรวจโรคทั่วไป และชุดตรวจโรคเฉพาะทาง
3.2 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพ
3.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
3.4 เครื่องชั่งน้าหนัก และที่วัดส่วนสูงของร่างกาย
4. แผนกผู้ปุวยใน จัดให้มี
4.1อุปกรณ์ประจาหน่วยบริการ ได้แก่ ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพ ชุดทา
แผลฉีดยา ชุดให้ยาผู้ปุวย ตู้เก็บเวชภัณฑ์ที่เหมาะสม และชุดตรวจร่างกายเบื้องต้น
4.2 อุปกรณ์ประจาเตียงและห้องผู้ปุวย ได้แก่ เตียงที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ เครื่องดูด
เสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ และมีระบบเรียกพยาบาล
5. แผนกผู้ปุวยฉุกเฉิน จัดให้มี
5.1 ชุดตรวจโรคทั่วไป
5.2 ชุดอุปกรณ์ ยา เวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพ
5.3 เครื่องกระตุกหัวใจ
5.4 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
5.5 ชุดใส่ท่อหายใจและช่วยหายใจ
5.6 ชุดและอุปกรณ์ในการปฐมพยาบาล เช่น การดามกระดูกเบื้องต้น ชุดห้ามเลือด ชุดล้าง
สารพิษ และชุดล้างท้อง
5.7 ชุดรักษาฉุกเฉิน เช่น ชุดเจาะปอด ชุดเจาะคอ ชุดให้น้าเกลือโดยทางผ่าเส้นเลือดและโคมไฟ
ส่องเฉพาะที่
5.8 อ่างฟอกมือชนิดที่ไม่ใช้มือเปิดปิดน้า
5.9 ระบบไฟฟูาสารองและแสงสว่างสารอง

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า8/56


6. แผนกเภสัชกรรม จัดให้มี
6.1 ตู้เย็นสาหรับเก็บยาหรือเวชภัณฑ์อื่น หรือตู้ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิพร้อมเทอร์โมมิเตอร์วัด
อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์
6.2กรณีที่มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทหรือยาเสพติดให้โทษ ให้มีสถานที่หรือตู้เก็บที่มี
กุญแจปิดและเปิดอย่างมีประสิทธิภาพ
ชุด 2 อุปกรณ์การนับเม็ดยาอย่างน้อย 6.3
6.4 ตู้หรือชั้นเก็บยาหรือเวชภัณฑ์อื่น
7. แผนกกายภาพบาบัด จัดให้มี
7.1 เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจประเมินและวินิจฉัยทางกายภาพบาบัด เช่น โกนิโอ
มิเตอร์ สายวัดความยาว เครื่องวัดความดัน หูฟัง
7.2 เครื่ อ งมื อ หรื อ อุ ป กรณ์ ที่ ใ ช้ ใ นการท ากายภาพบ าบั ด รวมถึ ง เครื่ อ งมื อ ไฟฟู า และ
อิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
8. แผนกเทคนิคการแพทย์ จัดให้มี
8.1 เครื่องมือตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการและน้ายาตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพของ
ประเภทการตรวจวิเคราะห์ที่ให้บริการ
8.2 ตู้เย็นสาหรับเก็บรักษาสิ่งตัวอย่างและน้ายาสาหรับการตรวจวิเคราะห์
9. แผนกรังสีวิทยา จัดให้มี
9.1 อุปกรณ์วัดและปูองกันอันตรายจากรังสี
9.2 เครื่องเอกซเรย์ที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์
9.3 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพอย่างน้อย 1 ชุด
9.4 เครื่องล้างฟิล์ม
9.5 ตู้อ่านฟิล์มหรืออุปกรณ์อ่านฟิล์มระบบดิจิทัล
9.6 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
9.7 ระบบไฟสัญญาณเตือนขณะเครื่องเอกซเรย์ทางาน
10. แผนกผ่าตัด จัดให้มี
10.1 เตียงและโคมไฟผ่าตัดแบบมาตรฐานใช้ในการผ่าตัดทุกห้องที่ใช้งานผ่าตัด
10.2 เครื่องดมยาสลบที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์และระบบแก๊สทางการแพทย์ซึ่งมีสัญญาณ
เตือนอันตรายทุกห้องที่มีการใช้งาน
10.3 ถังออกซิเจนและเครื่องดูดเสมหะสารองพร้อมใช้งาน
10.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพทุกห้อง
10.5 เครื่องมือผ่าตัดที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์และเพียงพอสาหรับการผ่าตัดตามสาขาโรค
10.6 อ่างฟอกมือชนิดที่ไม่ใช้มือเปิดปิดน้า
10.7 ตู้เสื้อผ้าและบริเวณสาหรับเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
10.8 ระบบไฟฟูาและแสงสว่างสารอง
11. แผนกสูติกรรม จัดให้มี
11.1 เตียงทาคลอดและโคมไฟ
11.2 เตียงรอคลอดอย่างน้อยหนึ่งเตียงต่อเตียงทาคลอดหนึ่งเตียง
11.3 เตียงทารกแรกเกิด
11.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพทุกห้อง

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า9/56


11.5 ระบบแก๊สทางการแพทย์ เครื่องดูดเสมหะ และอุปกรณ์ช่วยหายใจ
11.6 เครื่องมือทาคลอดจานวนที่เพียงพอและได้มาตรฐานทางการแพทย์
11.7 เครื่องตรวจสัญญาณชีพทารกในครรภ์
11.8 อ่างฟอกมือชนิดที่ไม่ใช้มือเปิดปิดน้า
11.9 อ่างอาบน้าทารก
11.10 เครื่องชั่งน้าหนักทารกแรกเกิด
12. ระบบรถรับส่งผู้ปุวยฉุกเฉิน ต้องได้รับอนุญาตให้ใช้งานจากสานักงานตารวจแห่งชาติ และจัดให้มี
12.1 ไฟสัญญาณฉุกเฉินสีน้าเงินติดตั้งบนหลังคารถ
12.2 เปลเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
12.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
12.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพประจารถ
12.5 ชุดห้ามเลือด เย็บแผลและทาแผล
13. ระบบควบคุมการติดเชื้อ จัดให้มี
13.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทาความสะอาด
13.2 อ่างและบริเวณที่เพียงพอสาหรับล้างและเตรียมเครื่องมือ
13.3 หม้อต้ม หม้อนึ่ง หรือหม้อนึ่งอบความดัน หรือระบบฆ่าเชื้อด้วยแก๊สที่มีประสิทธิภาพใน
การฆ่าเชื้อ
13.4 ตู้ที่มิดชิดสาหรับเก็บเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อแล้ว และมีเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน
13.5 ตู้เสื้อผ้าและบริเวณสาหรับเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
13.6 อุปกรณ์สาหรับตรวจสอบประสิทธิภาพการปราศจากเชื้อ
13.7 รถเข็นรับส่งสิ่งของสะอาด
13.8 รถเข็นรับส่งสิ่งของใช้แล้ว
14. ระบบบาบัดน้าเสียต้องจัดให้มีมาตรฐานที่กาหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
15. ระบบฟูาสารองต้องจัดให้มีเครื่องกาเนิดไฟฟูามีกาลังเพียงพอสาหรับอุปกรณ์ที่จาเป็นและติดตั้งไฟ
แสงสว่างฉุกเฉินตามจุดที่จาเป็น
16. ระบบน้าสารองต้องจัดให้มีที่กักเก็บน้าสารองขนาดที่เพียงพอสาหรับการใช้ที่จาเป็น
17. หอผู้ปุวยหนัก จัดให้มี
17.1 หน่วยปฏิบัติการพยาบาล
17.2 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพอย่างน้อย1 ชุด และเพิ่มขึ้น 1 ชุดทุกๆ
5 เตียง
17.3 เครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจอย่างน้อย 1 เครื่องต่อ 2 เตียง
17.4 เครื่องช่วยหายใจอย่างน้อย 1 เครื่อง และเพิ่มขึ้น 1 เครื่องทุกๆ 3 เตียง
17.5 เครื่องกระตุกหัวใจ
17.6 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจครบทุกเตียง
17.7 เตียงนอนแบบมาตรฐาน ซึ่งปรับศีรษะและปลายเท้าสูงต่าได้
17.8 ระบบเรียกพยาบาลประจาเตียงผู้ปุวย
18. ห้องให้การรักษา จัดให้มีเตียง อุปกรณ์ทาแผล ฉีดยา ใส่เฝือก ให้เลือด และให้น้าเกลือ
19. ห้องผ่าตัดเล็ก จัดให้มีเตียงและโคมไฟผ่าตัด ชุดเครื่องมือผ่าตัดทั่วไป ตู้เก็บอุปกรณ์ปราศจากเชื้อ
ระบบไฟฟูาและแสงสว่างสารอง

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า10/56


20. ห้องตรวจภายในและขูดมดลูก จัดให้มี
20.1 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพอย่างน้อย 1 ชุด
20.2 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
20.3 โคมไฟหรืออุปกรณ์แสงสว่างเพื่อการตรวจภายใน
20.4 เตียงสาหรับใช้ตรวจภายในและใช้ขูดมดลูก
20.5 ชุดตรวจภายในและชุดขูดมดลูกที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์
20.5 อ่างฟอกมือชนิดที่ไม่ใช้มือเปิดปิดน้า
21. ห้องทารกหลังคลอด จัดให้มี
21.1 เตียงทารกหลังคลอด และตู้อบทารกคลอดก่อนกาหนด
21.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
21.4 อ่างอาบน้าทารก
21.5 เครื่องรักษาทารกตัวเหลืองด้วยแสง
22. ห้องทันตกรรม จัดให้มี
22.1 ยูนิตทาฟัน ประกอบด้วยระบบให้แสงสว่าง ระบบเครื่องกรอฟัน ระบบดูดน้าลาย ระบบ
น้าบ้วนปาก และเก้าอี้คนไข้
22.2 เก้าอี้ทันตแพทย์และเก้าอี้ผู้ช่วยทันตแพทย์
22.3 เครื่องเอกซเรย์ฟันที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์
22.4 หม้อนึ่งอบความดันที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ
22.5 ชุดตรวจฟัน อุดฟัน ถอนฟัน ชุดศัลยกรรมช่องปาก ชุดรักษาคลองรากฟัน ชุดรักษาโรค
เหงือก ชุดทันตกรรมประดิษฐ์ เครื่องขูดหินน้าลาย และเครื่องมืออุปกรณ์อื่นตามมาตรฐานการประกอบ
วิชาชีพ
23. ห้องไตเทียม จัดให้มีเครื่องล้างไต เครื่องผลิตน้าสาหรับล้างไต ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการ
ช่วยฟื้นคืนชีพ เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ และเครื่องกระตุกหัวใจประจาโรงพยาบาลที่
สามารถนามาใช้ได้โดยสะดวก
24. ห้องซักฟอก จัดให้มี อุปกรณ์ซักรีด อุปกรณ์ซักฟอกผ้าติดเชื้อ ตู้เก็บเสื้อผ้า และอุปกรณ์ปูองกันการ
ติดเชื้อต่อผู้ปฏิบัติงาน
25. ห้องโภชนาการ จัดให้มี
25.1 โต๊ะเตรียมอาหารที่สะอาด
25.2 อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ในการประกอบอาหารและจัดส่งอาหารที่ถูกสุขลักษณะ
25.3 อุปกรณ์ระบายอากาศ เครื่องดูดควัน และอุปกรณ์ปูองกันแมลงและสัตว์รบกวน
25.4 ตู้เก็บอาหารที่สะอาดและมิดชิด
25.5 เครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่ตามหลักสุขาภิบาลอาหาร
26. ห้องพักศพที่ให้บริการเก็บศพตั้งแต่ 24 ชั่วโมงขึ้นไปต้องจัดให้มี ตู้เย็นสาหรับเก็บศพ และรถเข็นศพ
27. ยานพาหนะสาหรับให้บริการนอกโรงพยาบาล ต้องมีมาตรฐานดังนี้
27.1 รถเอกซเรย์เคลื่อนที่ต้องมีเครื่องเอกซเรย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยพร้อมอุปกรณ์ปูองกัน
อันตรายจากรังสีที่ได้รับอนุญาตจากสานักงานปรมาณูเพื่อสันติ หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย
27.2 รถทันตกรรมที่ได้มาตรฐานตามที่กาหนด
27.3 รถปฏิบัติการชันสูตรที่ได้มาตรฐานตามที่กาหนด
(2) โรงพยาบาลประเภทเฉพาะทาง

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า11/56


2.1 โรงพยาบาลทันตกรรม
1. โรงพยาบาลต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะในสถานพยาบาล เครื่องมือ
เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ทั่วไปที่จาเป็นประจาหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการในจานวนที่
เหมาะสมและเพียงพอ ดังต่อไปนี้
1.1 จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะที่ได้มาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือ
การประกอบโรคศิลปะที่สภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการวิวชาชีพกาหนดหรือประกาศกระทรวงสาธารณสุขกาหนด
1.2 มีเครื่องมือ เครื่องใช้ทั่วไปในแต่ละหน่วยบริการ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ อ่างฟอกมือชนิดไม่
ใช้มือเปิดปิดน้า ภาชนะบรรจุมูลฝอยทั่วไป และภาชนะบรรจุมูลฝอยติดเชื้อ
1.3 เครือ่ งมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ ที่ต้องจัดให้มีในแต่ละหน่วยบริการต้องเหมาะสมกับ
ลักษณะการให้บริการ
1.4 มีรถเข็นนอนและรถเข็นนั่งสาหรับเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
2. แผนกเวชระเบี ยน จัดให้มีตู้ห รือชั้นหรืออุปกรณ์เก็บเวชระเบียนที่มั่นคง ปลอดภัย เวชระเบียน
สามารถค้นหาได้ง่าย หากมีการเก็บเวชระเบียนด้วยระบบคอมพิวเตอร์และจัดให้มีระบบข้อมูลสารองเพื่อปูองกัน
ข้อมูลสูญหาย
3. แผนกผู้ปุวยนอก จัดให้มี
3.1 ยูนิตทาฟัน ประกอบด้วยระบบให้แสงสว่าง ระบบเครื่องกรอฟัน ระบบดูดน้าลาย ระบบน้า
บ้วนปาก และเก้าอี้คนไข้
3.2 เก้าอี้ทันตแพทย์และเก้าอี้ผู้ช่วยทันตแพทย์
3.3 เครื่องเอกซเรย์ฟันที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์
3.4 หม้อนึ่งอบความดันที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ
3.5 ชุดตรวจฟัน อุดฟัน ถอนฟัน ชุดศัลยกรรมช่องปาก ชุดรักษาคลองรากฟัน ชุดรักษาโรค
เหงือก ชุดทันตกรรมประดิษฐ์ เครื่องขูดหินน้าลาย และเครื่องมืออุปกรณ์อื่นตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
4. แผนกผู้ปุวยใน จัดให้มี
4.1 อุปกรณ์ประจาหน่วยบริการ ได้แก่ ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพ ชุดให้
ยาผู้ปุวย และตู้เก็บเวชภัณฑ์
4.2 อุปกรณ์ประจาเตียงและห้องผู้ปุวย ได้แก่ เตียงที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ เครื่องดูด
เสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ และ มีระบบเรียกพยาบาล
5. แผนกเภสัชกรรม จัดให้มี
5.1 ตู้เย็นสาหรับเก็บยาหรือเวชภัณฑ์อื่น หรือตู้ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิพร้อมเทอร์โมมิเตอร์วัด
อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์
5.2 กรณีที่มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท หรือยาเสพติดให้โทษ ให้มีสถานที่หรือตู้เก็บที่มี
กุญแจปิดและเปิดอย่างมีประสิทธิภาพ
5.3 อุปกรณ์การนับเม็ดยาอย่างน้อย 2 ชุด
5.4 ตู้หรือชั้นเก็บยาหรือเวชภัณฑ์อื่น
6. แผนกรังสีวิทยา จัดให้มี
6.1 อุปกรณ์วัดและปูองกันอันตรายจากรังสี
6.2 เครื่องเอกซเรย์ที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์
6.3 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพอย่างน้อย 1 ชุด
6.4 เครื่องล้างฟิล์ม

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า12/56


6.5 ตู้อ่านฟิล์มหรืออุปกรณ์อ่านฟิล์มระบบดิจิทัล
6.6 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
6.7 ระบบไฟสัญญาณเตือนขณะเครื่องเอกซเรย์ทางาน
7. แผนกผ่าตัด จัดให้มี
7.1 เตียงและโคมไฟผ่าตัดแบบมาตรฐานใช้ในการผ่าตัดทุกห้องที่ใช้งานผ่าตัด
7.2 เครื่องดมยาสลบที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์และระบบแก๊สทางการแพทย์ซึ่งมีสัญญาณ
เตือนอันตรายทุกห้องที่ขออนุญาตใช้งาน
7.3 ถังออกซิเจนและเครื่องดูดเสมหะสารองพร้อมใช้งาน
7.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพทุกห้อง
7.5 เครื่องมือผ่าตัดที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์และเพียงพอสาหรับการผ่าตัดตามสาขาโรค
7.6 อ่างฟอกมือชนิดที่ไม่ใช้มือเปิดปิดน้า
7.7 ตู้เสื้อผ้าและบริเวณสาหรับเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
7.8 ระบบไฟฟูาและแสงสว่างสารอง
8. ระบบรถรับส่งผู้ปุวยฉุกเฉิน ต้องได้รับอนุญาตให้ใช้งานจากสานักงานตารวจแห่งชาติ และจัดให้มี
8.1 ไฟสัญญาณฉุกเฉินสีน้าเงินติดตั้งบนหลังคารถ
8.2 เปลเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
8.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
8.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพประจารถ
8.5 ชุดห้ามเลือด เย็บแผลและทาแผล
9. ระบบควบคุมการติดเชื้อ จัดให้มี
9.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทาความสะอาด
9.2 อ่างและบริเวณที่เพียงพอสาหรับล้างและเตรียมเครื่องมือ
9.3 หม้อต้ม หม้อนึ่ง หรือหม้อนึ่งอบความดัน หรือระบบฆ่าเชื้อด้วยแก๊สที่มีประสิทธิภาพในการ
ฆ่าเชื้อ
9.4 ตู้ที่มิดชิดสาหรับเก็บเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อแล้ว และมีเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน
9.5 ตู้เสื้อผ้าและบริเวณสาหรับเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
9.6 อุปกรณ์สาหรับตรวจสอบประสิทธิภาพการปราศจากเชื้อ
9.7 รถเข็นรับส่งสิ่งของสะอาด
9.8 รถเข็นรับส่งสิ่งของใช้แล้ว
10. ระบบบาบัดน้าเสียต้องจัดให้มีมาตรฐานที่กาหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
11. ระบบฟูาสารองต้องจัดให้มีเครื่องกาเนิดไฟฟูามีกาลังเพียงพอสาหรับอุปกรณ์ที่จาเป็นและติดตั้งไฟ
แสงสว่างฉุกเฉินตามจุดที่จาเป็น
12. ระบบน้าสารองต้องจัดให้มีที่กักเก็บน้าสารองขนาดที่เพียงพอสาหรับการใช้ที่จาเป็น
2.2 โรงพยาบาลการพยาบาลและการผดุงครรภ์
1. โรงพยาบาลต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะในสถานพยาบาล เครื่องมือ
เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ทั่วไปที่จาเป็นประจาหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการในจานวนที่
เหมาะสมและเพียงพอ ดังต่อไปนี้
1.1 จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะที่ได้มาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือ
การประกอบโรคศิลปะที่สภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการวิวชาชีพกาหนดหรือประกาศกระทรวงสาธารณสุขกาหนด

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า13/56


1.2 มีเครื่องมือ เครื่องใช้ทั่วไปในแต่ละหน่วยบริการ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ อ่างฟอกมือชนิดไม่
ใช้มือเปิดปิดน้า ภาชนะบรรจุมูลฝอยทั่วไป และภาชนะบรรจุมูลฝอยติดเชื้อ
1.3 เครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ ที่ต้องจัดให้มีในแต่ละหน่วยบริการต้องเหมาะสมกับ
ลักษณะการให้บริการ
1.4 มีรถเข็นนอนและรถเข็นนั่งสาหรับเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
2. แผนกเวชระเบียน จัดให้มีตู้หรือชั้นหรืออุปกรณ์เก็บเวชระเบียนที่มั่นคง ปลอดภัย เวชระเบียน
สามารถค้นหาได้ง่าย หากมีการเก็บเวชระเบียนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และจัดให้มีระบบข้อมูลสารองเพื่อปูองกัน
ข้อมูลสูญหาย
3. แผนกผู้ปุวยนอก จัดให้มี
3.1 ชุดตรวจโรคทั่วไปและชุดให้การรักษาทั่วไปตามมาตรฐานวิชาชีพ
3.2 ชุดตรวจครรภ์ ชุดทาคลอด ชุดตรวจหลังคลอด และเครื่องฟังเสียงหัวใจเด็ก
3.3 เตียงตรวจครรภ์
3.4 ยาและเวชภัณฑ์อื่นที่จาเป็น โดยมีจานวนรายการและปริมาณที่เพียงพอตามมาตรฐานการ
ประกอบวิชาชีพ
3.5 ตู้เย็นสาหรับเก็บยาหรือเวชภัณฑ์อื่น
3.6 อุปกรณ์การนับเม็ดยาอย่างน้อย 2 ชุด
4. แผนกผู้ปุวยใน จัดให้มี
4.1 อุปกรณ์ประจาหน่วยบริการ ได้แก่ ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพ ชุดให้
ยาผู้ปุวย และตู้เก็บเวชภัณฑ์
4.2 อุปกรณ์ประจาเตียงและห้องผู้ปุวย ได้แก่ เตียงที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ เครื่องดูด
เสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ และ มีระบบเรียกพยาบาล
5. แผนกสูติกรรม จัดให้มี
5.1 เตียงรอคลอดอย่างน้อยหนึ่งเตียงต่อเตียงทาคลอดหนึ่งเตียง
5.2 เตียงทาคลอดและโคมไฟ
5.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
5.4 เครื่องมือทาคลอดจานวนที่เพียงพอและได้มาตรฐานทางการแพทย์
5.5 เครื่องตรวจครรภ์
5.6 เตียงทารกแรกเกิด
5.7 อ่างฟอกมือชนิดที่ไม่ใช้มือเปิดปิดน้า
5.8 อุปกรณ์สาหรับอาบน้าทารก
5.9 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพที่นามาใช้โดยสะดวก
5.10 เครื่องตรวจสัญญาณชีพทารกในครรภ์
6. ระบบรถรับส่งผู้ปุวยฉุกเฉิน ต้องได้รับอนุญาตให้ใช้งานจากสานักงานตารวจแห่งชาติ และจัดให้มี
6.1 ไฟสัญญาณฉุกเฉินสีน้าเงินติดตั้งบนหลังคารถ
6.2 เปลเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
6.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
6.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพประจารถ
6.5 ชุดห้ามเลือด เย็บแผลและทาแผล
7. ระบบควบคุมการติดเชื้อ จัดให้มี

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า14/56


7.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทาความสะอาด
7.2 อ่างและบริเวณที่เพียงพอสาหรับล้างและเตรียมเครื่องมือ
7.3 หม้อต้ม หม้อนึ่ง หรือหม้อนึ่งอบความดัน หรือระบบฆ่าเชื้อด้วยแก๊สที่มีประสิทธิภาพในการ
ฆ่าเชื้อ
7.4 ตู้ที่มิดชิดสาหรับเก็บเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อแล้ว และมีเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน
7.5 ตู้เสื้อผ้าและบริเวณสาหรับเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
7.6 อุปกรณ์สาหรับตรวจสอบประสิทธิภาพการปราศจากเชื้อ
7.7 รถเข็นรับส่งสิ่งของสะอาด
7.8 รถเข็นรับส่งสิ่งของใช้แล้ว
8. ระบบบาบัดน้าเสียต้องจัดให้มีมาตรฐานที่กาหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
9. ระบบฟูาสารองต้องจัดให้มีเครื่องกาเนิดไฟฟูามีกาลังเพียงพอสาหรับอุปกรณ์ที่จาเป็นและติดตั้งไฟแสง
สว่างฉุกเฉินตามจุดที่จาเป็น
10. ระบบน้าสารองต้องจัดให้มีที่กักเก็บน้าสารองขนาดที่เพียงพอสาหรับการใช้ที่จาเป็น
2.3 โรงพยาบาลกายภาพบาบัด
1. โรงพยาบาลต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะในสถานพยาบาล เครื่องมือ
เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ทั่วไปที่จาเป็นประจาหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการในจานวนที่
เหมาะสมและเพียงพอ ดังต่อไปนี้
1.1 จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะที่ได้มาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือ
การประกอบโรคศิลปะที่สภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการวิวชาชีพกาหนดหรือประกาศกระทรวงสาธารณสุขกาหนด
1.2 มีเครื่องมือ เครื่องใช้ทั่วไปในแต่ละหน่วยบริการ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ อ่างฟอกมือชนิดไม่
ใช้มือเปิดปิดน้า ภาชนะบรรจุมูลฝอยทั่วไป และภาชนะบรรจุมูลฝอยติดเชื้อ
1.3 เครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ ที่ต้องจัดให้มีในแต่ละหน่วยบริการต้องเหมาะสมกับ
ลักษณะการให้บริการ
1.4 มีรถเข็นนอนและรถเข็นนั่งสาหรับเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
2. แผนกเวชระเบียน จัดให้มีตู้หรือชั้นหรืออุปกรณ์เก็บเวชระเบียนที่มั่นคง ปลอดภัย เวชระเบียน
สามารถค้นหาได้ง่าย หากมีการเก็บเวชระเบียนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และจัดให้มีระบบข้อมูลสารองเพื่อปูองกัน
ข้อมูลสูญหาย
3. แผนกผู้ปุวยนอก จัดให้มี
3.1 เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจประเมินและวินิจฉัยทางกายภาพบาบัด เช่น โกนิโอ
มิเตอร์ สายวัดความยาว เครื่องวัดความดัน และหูฟัง
3.2 เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการทากายภาพบาบัด รวมถึงเครื่องมือไฟฟูาและ
อิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
4. แผนกผู้ปุวยใน จัดให้มี
4.1 อุปกรณ์ประจาหน่วยบริการ ได้แก่ ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพ ชุดให้
ยาผู้ปุวย และตู้เก็บเวชภัณฑ์ที่เหมาะสม
4.2 อุปกรณ์ประจาเตียงและห้องผู้ปุวย ได้แก่ เตียงที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ เครื่องดูด
เสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ และมีระบบเรียกพยาบาล
5. ระบบรถรับส่งผู้ปุวยฉุกเฉิน ต้องได้รับอนุญาตให้ใช้งานจากสานักงานตารวจแห่งชาติ และจัดให้มี
5.1 ไฟสัญญาณฉุกเฉินสีน้าเงินติดตั้งบนหลังคารถ

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า15/56


5.2 เปลเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
5.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
5.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพประจารถ
5.5 ชุดห้ามเลือด เย็บแผลและทาแผล
6. ระบบควบคุมการติดเชื้อ จัดให้มี
6.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทาความสะอาด
6.2 อ่างและบริเวณที่เพียงพอสาหรับล้างและเตรียมเครื่องมือ
6.3 หม้อต้ม หม้อนึ่ง หรือหม้อนึ่งอบความดัน หรือระบบฆ่าเชื้อด้วยแก๊สที่มีประสิทธิภาพในการ
ฆ่าเชื้อ
6.4 ตู้ที่มิดชิดสาหรับเก็บเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อแล้ว และมีเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน
6.5 ตู้เสื้อผ้าและบริเวณสาหรับเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
6.6 อุปกรณ์สาหรับตรวจสอบประสิทธิภาพการปราศจากเชื้อ
6.7 รถเข็นรับส่งสิ่งของสะอาด
6.8 รถเข็นรับส่งสิ่งของใช้แล้ว
7. ระบบบาบัดน้าเสียต้องจัดให้มีมาตรฐานที่กาหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
8. ระบบฟูาสารองต้องจัดให้มีเครื่องกาเนิดไฟฟูามีกาลังเพียงพอสาหรับอุปกรณ์ที่จาเป็นและติดตั้งไฟแสง
สว่างฉุกเฉินตามจุดที่จาเป็น
9. ระบบน้าสารองต้องจัดให้มีที่กักเก็บน้าสารองขนาดที่เพียงพอสาหรับการใช้ที่จาเป็น
2.4 โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย
1. โรงพยาบาลต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะในสถานพยาบาล เครื่องมือ
เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ทั่วไปที่จาเป็นประจาหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการในจานวนที่
เหมาะสมและเพียงพอ ดังต่อไปนี้
1.1 จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะที่ได้มาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือ
การประกอบโรคศิลปะที่สภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการวิชาชีพกาหนดหรือประกาศกระทรวงสาธารณสุขกาหนด
1.2 มีเครื่องมือ เครื่องใช้ทั่วไปในแต่ละหน่วยบริการ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ อ่างฟอกมือชนิดไม่
ใช้มือเปิดปิดน้า ภาชนะบรรจุมูลฝอยทั่วไป และภาชนะบรรจุมูลฝอยติดเชื้อ
1.3 เครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ ที่ต้องจัดให้มีในแต่ละหน่วยบริการต้องเหมาะสมกับ
ลักษณะการให้บริการ
1.4 มีรถเข็นนอนและรถเข็นนั่งสาหรับเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
2. แผนกเวชระเบียน จัดให้มีตู้หรือชั้นหรืออุปกรณ์เก็บเวชระเบียนที่มั่นคง ปลอดภัย เวชระเบียน
สามารถค้นหาได้ง่าย หากมีการเก็บเวชระเบียนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และจัดให้มีระบบข้อมูลสารองเพื่อปูองกัน
ข้อมูลสูญหาย
3. แผนกผู้ปุวยนอก จัดให้มี
3.1 เครื่องมือการตรวจวินิจฉัยตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
3.2 ชุดเครื่องมือและอุปกรณ์การนวดไทย
3.3 ชุดเครื่องมือและอุปกรณ์การอบและประคบสมุนไพรไทย
3.4 เครื่องดูดเสมหะ
3.5 ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
3.6 เครื่องชั่งน้าหนัก และที่วัดส่วนสูงของร่างกาย

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า16/56


4. แผนกผู้ปุวยใน จัดให้มี
4.1 อุปกรณ์ประจาหน่วยบริการ ได้แก่ ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ ชุดให้ยาผู้ปุวย และตู้เก็บ
เวชภัณฑ์ที่เหมาะสม
4.2 อุปกรณ์ประจาเตียงและห้องผู้ปุวย ได้แก่ เตียงที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ เครื่องดูด
เสมหะออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
5. แผนกเภสัชกรรมไทย จัดให้มี
5.1 ตู้เก็บยาแผนไทย
5.2 เครื่องชั่ง ตวง วัดยา
5.3 อุปกรณ์ต้มยา ในกรณีที่มีบริการยาต้ม
6. แผนกการผดุงครรภ์ไทย จัดให้มี
6.1 เตียงตรวจครรภ์
6.2 ยาแผนไทยที่ใช้สาหรับการผดุงครรภ์ไทย
6.3 ชุดเครื่องมือและอุปกรณ์การผดุงครรภ์ไทยตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
7. แผนกการนวดไทย จัดให้มี
7.1 ชุดเครื่องมือและอุปกรณ์การนวดไทย
7.3 ชุดเครื่องมือและอุปกรณ์การอบและประคบสมุนไพรไทย
8. ระบบรถรับส่งผู้ปุวยฉุกเฉิน ต้องได้รับอนุญาตให้ใช้งานจากสานักงานตารวจแห่งชาติ และจัดให้มี
8.1 ไฟสัญญาณฉุกเฉินสีน้าเงินติดตั้งบนหลังคารถ
8.2 เปลเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
8.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
8.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ประจารถ
9. ระบบควบคุมการติดเชื้อ จัดให้มี
9.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทาความสะอาด
9.2 อ่างและบริเวณที่เพียงพอสาหรับล้างและเตรียมเครื่องมือ
9.3 หม้อต้ม หม้อนึ่ง หรือหม้อนึ่งอบความดัน หรือระบบฆ่าเชื้อด้วยแก๊สที่มีประสิทธิภาพในการ
ฆ่าเชื้อ
9.4 ตู้ที่มิดชิดสาหรับเก็บเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อแล้ว และมีเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน
9.5 ตู้เสื้อผ้าและบริเวณสาหรับเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
9.6 อุปกรณ์สาหรับตรวจสอบประสิทธิภาพการปราศจากเชื้อ
9.7 รถเข็นรับส่งสิ่งของสะอาด
9.8 รถเข็นรับส่งสิ่งของใช้แล้ว
10. ระบบบาบัดน้าเสียต้องจัดให้มีมาตรฐานที่กาหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
11. ระบบฟูาสารองต้องจัดให้มีเครื่องกาเนิดไฟฟูามีกาลังเพียงพอสาหรับอุปกรณ์ที่จาเป็นและติดตั้งไฟ
แสงสว่างฉุกเฉินตามจุดที่จาเป็น
12. ระบบน้าสารองต้องจัดให้มีที่กักเก็บน้าสารองขนาดที่เพียงพอสาหรับการใช้ที่จาเป็น
2.5 โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์
1. โรงพยาบาลต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะในสถานพยาบาล เครื่องมือ
เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ทั่วไปที่จาเป็นประจาหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการในจานวนที่
เหมาะสมและเพียงพอ ดังต่อไปนี้

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า17/56


1.1 จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ประกอบโรคศิลปะที่ได้มาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือ
การประกอบโรคศิลปะที่สภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการวิวชาชีพกาหนดหรือประกาศกระทรวงสาธารณสุขกาหนด
1.2 มีเครื่องมือ เครื่องใช้ทั่วไปในแต่ละหน่วยบริการ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ อ่างฟอกมือชนิดไม่
ใช้มือเปิดปิดน้า ภาชนะบรรจุมูลฝอยทั่วไป และภาชนะบรรจุมูลฝอยติดเชื้อ
1.3 เครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ ที่ต้องจัดให้มีในแต่ละหน่วยบริการต้องเหมาะสมกับ
ลักษณะการให้บริการ
1.4 มีรถเข็นนอนและรถเข็นนั่งสาหรับเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
2. แผนกเวชระเบียน จัดให้มีตู้หรือชั้นหรืออุปกรณ์เก็บเวชระเบียนที่มั่นคง ปลอดภัย เวชระเบียน
สามารถค้นหาได้ง่าย หากมีการเก็บเวชระเบียนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และจัดให้มีระบบข้อมูลสารองเพื่อปูองกัน
ข้อมูลสูญหาย
3. แผนกผู้ปุวยนอก จัดให้มี
3.1 เครื่องมือการตรวจวินิจฉัยตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
3.2 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
3.4 เครื่องชั่งน้าหนัก และที่วัดส่วนสูงของร่างกาย
4. แผนกผู้ปุวยใน จัดให้มี
4.1 อุปกรณ์ประจาหน่วยบริการ ได้แก่ ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ ชุดทาแผล ชุดให้ยาผู้ปุวย
ตู้เก็บเวชภัณฑ์ที่เหมาะสม และชุดตรวจร่างกายเบื้องต้น
4.2 อุปกรณ์ประจาเตียงและห้องผู้ปุวย ได้แก่ เตียงที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ เครื่องดูด
เสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
5. แผนกเภสัชกรรมไทย จัดให้มี
5.1 ตู้เก็บยาแผนไทย
5.2 เครื่องชั่ง ตวง วัดยา และอุปกรณ์การนับเม็ดยา
5.3 อุปกรณ์ต้มยา ในกรณีที่มีบริการยาต้ม
6. แผนกการผดุงครรภ์ไทย จัดให้มี
6.1 เตียงตรวจครรภ์
6.2 ยาแผนไทยที่ใช้สาหรับการผดุงครรภ์ไทยประยุกต์
6.3 ชุดเครื่องมือและอุปกรณ์การผดุงครรภ์ไทยประยุกต์ตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
7. แผนกหัตถเวชกรรมไทย จัดให้มี
7.1 ชุดเครื่องมือและอุปกรณ์การนวดไทยแบบราชสานัก
7.3 ชุดเครื่องมือและอุปกรณ์การอบและประคบสมุนไพร
8. ระบบรถรับส่งผู้ปุวยฉุกเฉิน ต้องได้รับอนุญาตให้ใช้งานจากสานักงานตารวจแห่งชาติ และจัดให้มี
8.1 ไฟสัญญาณฉุกเฉินสีน้าเงินติดตั้งบนหลังคารถ
8.2 เปลเคลื่อนย้ายผู้ปุวย
8.3 เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยหายใจ
8.4 ชุดอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ประจารถ
9. ระบบควบคุมการติดเชื้อ จัดให้มี
9.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทาความสะอาด
9.2 อ่างและบริเวณที่เพียงพอสาหรับล้างและเตรียมเครื่องมือ
9.3 หม้อต้ม หม้อนึ่ง หรือหม้อนึ่งอบความดัน หรือระบบฆ่าเชื้อด้วยแก๊สที่มีประสิทธิภาพในการ

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า18/56


ฆ่าเชื้อ
9.4 ตู้ที่มิดชิดสาหรับเก็บเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อแล้ว และมีเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน
9.5 ตู้เสื้อผ้าและบริเวณสาหรับเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
9.6 อุปกรณ์สาหรับตรวจสอบประสิทธิภาพการปราศจากเชื้อ
9.7 รถเข็นรับส่งสิ่งของสะอาด
9.8 รถเข็นรับส่งสิ่งของใช้แล้ว
10. ระบบบาบัดน้าเสียต้องจัดให้มีมาตรฐานที่กาหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
11. ระบบฟูาสารองต้องจัดให้มีเครื่องกาเนิดไฟฟูามีกาลังเพียงพอสาหรับอุปกรณ์ที่จาเป็นและติดตั้งไฟ
แสงสว่างฉุกเฉินตามจุดที่จาเป็น
12. ระบบน้าสารองต้องจัดให้มีที่กักเก็บน้าสารองขนาดที่เพียงพอสาหรับการใช้ที่จาเป็น

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า19/56


ด้านที่ 3
ด้านอาคาร สถานที่และสิ่งอานวยความสะดวก

อาคาร สถานที่และสิ่งอานวยความสะดวกเป็นข้อกาหนดข้อแนะนาแนวทางปฏิบัติและมาตรฐานงานด้าน
วิศวกรรม สถาปัตยกรรมในโรงพยาบาล การประยุกต์ใช้หลักการทางวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์ เพื่อการออกแบบ
พัฒนาปูองกันปรับปรุงและการแก้ไขงานด้านวิศวกรรมสถาปัตยกรรมในโรงพยาบาลให้เกิดความปลอดภัยภายใน
และภายนอกโรงพยาบาล
หมวดงานสถาปัตยกรรม
1.แผนพัฒนาและการวางผังโรงพยาบาล
1.1 มีแผนแม่บท (แผนพัฒนาและการวางผังโรงพยาบาลด้านอาคารและสภาพแวดล้อม)
1.2 มีผังบริเวณของโรงพยาบาลที่เป็นปัจจุบัน
2.ทางเข้า-ออกของโรงพยาบาล
2.1 ทางเข้า-ออกหลักของโรงพยาบาล มีการแบ่งช่องทางสัญจรสาหรับยานพาหนะและผู้สัญจรทาง
เท้าอย่างชัดเจน
2.2 ทางเข้า-ออกหลักของโรงพยาบาล สาหรับช่องทางเดินรถทางเดียว มีความกว้างไม่น้อยกว่า
3.50 เมตร หรือ
2.3 ทางเข้า-ออกหลักของโรงพยาบาล สาหรับช่องทางเดินรถสองทาง เดินรถสวนทาง มีความกว้าง
ไม่น้อยกว่า 6.00 เมตร
3.ส่วนบริการของโรงพยาบาล
3.1 เข้าถึงแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินได้สะดวกรวดเร็ว
3.2สะอาดเรียบร้อยปลอดภัยและอานวยความสะดวก
3.3มีสถานที่ให้บริการเป็นสัดส่วนและได้มาตรฐาน
3.4 มีบริเวณพักรอของผู้รับบริการที่เพียงพอ
3.5มีสถานที่เอื้ออานวยความสะดวกต่อผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้เสื่อมสมรรถภาพทางกาย
3.6 ห้องผ่าตัดเล็ก มีขนาดพื้นที่ห้องผ่าตัดเล็กมีขนาดไม่น้อยกว่า๑๒ตารางเมตร โดยส่วนที่แคบสุด
ไม่น้อยกว่า 3 เมตร
3.7 ห้องผ่าตัดเล็ก มีความสูงของห้องผ่าตัดเล็กต้องไม่น้อยกว่า 2.60 เมตรแต่ในกรณีที่ความสูงไม่
ถึง๒.๖0เมตรมีการตกแต่งทาฝูาให้ต่าลงมาต้องมีความสูงที่วัดจากพื้นห้องถึงฝูาไม่ต่ากว่า ๒.๔๕เมตรและมีพัดลม
ดูดอากาศหรือระบบการระบายอากาศที่เหมาะสม
3.8 ห้องผ่าตัดใหญ่ มีขนาดพื้นที่ห้องผ่าตัดใหญ่ต้องมีขนาดไม่น้อยกวา 20ตารางเมตรและความสูง
ไม่ต่ากวา๓ เมตร.
3.9 ห้องผ่าตัดใหญ่ มีพื้นที่ใช้สอย(แผนกผ่าตัด )ประกอบด้วย Staff Area ,บริเวณรับคนไข้ ,
Transfer Area , บริเวณฟอกมือเจ้าหน้าที่, Operation Rooms และ Recovery Rooms เป็นไปตามเกณฑ์ที่
กาหนด
3.10 การแพทย์ฉุกเฉินและการส่งต่อมีสถานที่ให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้มาตรฐานตาม
เกณฑ์ที่กาหนด
3.11 จิตเวช มีสถานที่ให้ บริการคานึงถึงความเป็นส่วนตัว และ/หรือความปลอดภัยและเอื้อต่อ
กิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพจิตของผู้มารับบริการและผู้ให้บริการ

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า20/56


3.12 เวชระเบียน จัดแบ่งเป็นสัดส่วนไม่เสี่ยงต่ออันตรายจากสัตว์หรือปัจจัยทางกายภาพและมี
พื้นที่เพียงพอที่จะเก็บเวชระเบียนได้อย่างน้อย 5 ปี
4.ป้ายนาทาง ป้ายจราจร ป้ายชื่อโรงพยาบาลและป้ายชื่ออาคาร
4.1มีปูายนาทางบอกทิศทางและระยะทางสู่โรงพยาบาล ติดตั้งอยู่บนถนนสาธารณะสายหลัก สาย
รอง และทางแยกในระยะที่เหมาะสม
4.2มีปูายจราจรภายในโรงพยาบาล ติดตั้งในตาแหน่งที่เหมาะสมสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
4.3มีปูายบอกทางไปยังอาคาร/แผนกต่างๆ มองเห็นได้ชัดเจนพร้อมระบบไฟส่องสว่างที่เหมาะสม
4.4มีปูายชื่อโรงพยาบาล ปูายชื่ออาคารที่เป็นหน่วยบริการสาคัญได้แก่ แผนกฉุกเฉิน แผนกผู้ปุวย
นอก เป็นต้น ติดตั้งอยู่ในตาแหน่งที่เหมาะสม สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางวันและมีไฟส่องสว่างในเวลา
กลางคืน
5.ถนนภายในโรงพยาบาล
5.1 พื้นผิวเรียบและไม่มีน้าขัง
5.2 บริเวณจุดตัดถนนมีปูายบอกทางชัดเจนและปราศจากสิ่งบดบังสายตา
6.ทางเดินเท้า
6.1 แบ่งขอบเขตของทางเดินเท้าออกจากเส้นทางจราจรของยานพาหนะอย่างชัดเจน
6.2 มีความกว้างไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร ตลอดเส้นทาง
6.3 ในจุดที่เป็นทางข้ามถนนและมีความต่างระดับ จะต้องทาทางลาดเอียงให้สามารถนาเก้าอี้มีล้อ
(Wheelchair) ผ่านได้โดยสะดวก รวมทั้งต้องจัดให้มีปูายเตือนผู้ขับขี่ยานพาหนะว่าเป็นทางข้ามสาหรับผู้เดินเท้า
7.ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารสาหรับผู้ป่วย
7.1 มีทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารในทุกหน่วยบริการของโรงพยาบาล
7.2 มีความกว้างประมาณ ๒.๕o เมตร เพื่อสะดวกต่อการเข็นเปลนอนผู้ปุวยสวนกันได้และไม่มีสิ่ง
กีดขวางที่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจร
7.3 ติดตั้งราวกันตก สูงประมาณ ๑.๑o เมตร
7.4 ติดตั้งราวจับสูงประมาณ 0.80เมตร
7.5มีหลังคาหรือสิ่งปกคลุมที่ปูองกันแดดและฝนตลอดแนว
8.ทางลาด สาหรับผู้ป่วย
8.1 กรณีที่ระดับพื้นอาคารมีความต่างระดับกันมากกว่า ๒ เซนติเมตร จะต้องทาทางลาดเพื่อ
อานวยความสะดวกให้กับผู้รับบริการ
8.2 มีความกว้างไม่น้อยกว่า ๑.๕o เมตร ความลาดชัน ๑ : ๑๒ สามารถเข็นเก้าอี้มีล้อหรือเปลนอน
ผู้ปุวยได้สะดวกและปลอดภัย
8.3 ติดตั้งราวกันตก สูงประมาณ ๑.๑oเมตร
8.4 ติดตั้งราวจับ สูงประมาณ 0.80เมตร
8.5 ทางลาดภายนอกต้องมีหลังคาหรือสิ่งปกคลุมที่ปูองกันแดดและฝนตลอดแนว
8.6 ห้องหรือแผนกที่ให้การรักษาพยาบาลผู้ปุวยตั้งแต่ที่ชั้น 2 ขึ้นไป ต้องจัดให้มีทางลาดหรือลิฟท์
(BED LIFT)
9.ที่จอดรถยนต์และจักรยานยนต์
9.1 แยกพื้นที่จอดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ออกจากแนวทางวิ่งของรถ รวมทั้งแสดงเครื่องหมาย
ทิศทางอย่างชัดเจน

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า21/56


9.2 มีที่จอดรถสาหรับผู้พิการอยู่ใกล้ทางเข้าอาคารผู้ปุวยนอกและมีปูายหรือเครื่องหมายแสดงอย่าง
ชัดเจน
10.บริเวณรับ-ส่งผู้ป่วยหน้าอาคาร
10.1 มีความกว้างของถนนพอที่รถยนต์คันอื่น สามารถขับผ่านไปได้ขณะที่มีรถยนต์จอดรับ-ส่ง
ผู้ปุวย
10.2 ระดับพื้นของบริเวณรับ–ส่งผู้ปุวยต้องอยู่ในระดับเดียวกับพื้นถนน ถ้าเป็นพื้นต่างระดับต้อง
มีทางลาดที่เหมาะสม
10.3 มีหลังคาหรือสิ่งปกคลุมที่สามารถปูองกันแดดและฝน
11.ห้องน้า-ส้วม สาหรับผู้รับบริการ
11.1 มีห้องน้า-ส้วม สาหรับผู้พิการ - ผู้สูงอายุ
11.2 มีราวพยุงตัวติดตั้งในตาแหน่งที่เหมาะสม
11.3 มีห้องน้าสาหรับเด็กเล็กเป็นไปตามมาตรฐานที่กาหนด
12.บันไดหนีไฟ
12.1 มีความกว้างของบันไดและชานพักที่สะดวกต่อการใช้งานและไม่มีสิ่งกีดขวาง
12.2 มีตัวเลขระบุชั้นอยู่ภายในตัวบันไดที่มองเห็นได้ชัดเจน
หมวดงานมัณฑนศิลป์
13.งานตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ภายในอาคาร
13.1 อ่างล้างมือสาหรับแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ ไม่ควรใช้ปะปนกับอ่างเทสิ่งสกปรกหรือล้างวัสดุ
อุปกรณ์ต่างๆและก๊อกน้าควรใช้ก๊อกน้าชนิดไม่ใช้มือสัมผัส (ก๊อกน้าชนิดก้านปัดด้วยข้อศอกหรือเป็นแบบเซนเซอร์)
13.2 เคาน์เตอร์สาหรับพยาบาลเฝูาระวังสังเกตการณ์ TOP เคาน์เตอร์ระดับบนไม่ควรสูงเกินกว่า
90 เซนติเมตร จากระดับพื้นห้อง เพื่อไม่ให้บังสายตาในขณะเฝูาดูผู้ปุวย
13.3 ห้องตรวจของแพทย์ มีอ่างล้างมือสาหรับแพทย์และเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 2 ห้องตรวจ
ต่อ 1 อ่าง
13.4 เตียงผู้ปุวยควรมีม่านกั้นระหว่างเตียงผู้ปุ วยเพื่อบังสายตาระหว่างการรักษาและเพื่อความ
เป็นส่วนตัวของผู้ปุวย
13.5 มีปูายติดหน้าห้องหรือหน้าแผนกบริการ ในตาแหน่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
13.6 แผนกผู้ปุวยใน บริเวณตั้งเตียงผู้ปุวย ควรมีระยะระหว่างเตียง ไม่น้อยกว่า 1 เมตรและ
สามารถนาเปลเข็นเข้าเทียบเตียงผู้ปุวยได้โดยสะดวก
13.7 ห้องผ่าตัด ควรมีอ่างฟอกมือติดกับห้องผ่าตัดอย่างน้อย 2 อ่างต่อ 1 ห้องผ่าตัดและก๊อกน้า
ควรใช้ก๊อกน้าชนิดไม่ใช้มือสัมผัส เช่น ก๊อกน้าแบบใช้เข่าดันเปิด-ปิดน้าหรือแบบเซนเซอร์
13.8 แผนกเภสัชกรรม มีตู้หรือชั้นเก็บยา เวชภัณฑ์ ที่เป็นสัดส่วนและมีตู้แยกเก็บยาเสพติดให้
โทษและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ที่มีกุญแจปิดอย่างมีประสิทธิภาพ
13.9 แผนกเภสัชกรรม มีสถานที่และโต๊ะสาหรับเตรียมยา – ผสมยา แยกเป็นสัดส่วนจากที่จัดยา
13.10 มีห้องจ่ายยาและจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเหมาะสม(บริเวณจ่ายยา/ให้คาแนะนาผู้ปุวย/เก็บ
รักษายา/ผสมยาสาหรับผู้ปุวยเฉพาะราย)
13.11 มีตู้/ชั้นเก็บยาหรือเวชภัณฑ์ที่เพียงพอและเหมาะสม
13.12 มีสถานที่ให้คาปรึกษาแนะนาด้านยาที่เป็นสัดส่วน
13.13 กรณี มีการเตรียมยาส าหรับผู้ ปุวยเฉพาะราย ในโรงพยาบาล ให้มีสถานที่สาหรับผู้ ปุว ย
เฉพาะราย

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า22/56


13.14 แผนกรังสีวินิจฉัย มีปูายคาเตือน “ผู้ปุวยมีครรภ์โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบ”
13.15 มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสาหรับผู้ปุวยเป็นสัดส่วนและมิดชิด
13.16 การตรวจพิเศษทางรังสีวิทยาในระบบทางเดินอาหารต้องมีห้องสุขาติดกับห้องตรวจ
13.17 มีปูายสัญลักษณ์แสดงเขตรังสีรักษาและไฟสัญญาณแสดงขณะใช้งานเครื่องกาเนิดรังสี
13.18 แผนกผู้ปุวยหนัก บริเวณตั้งเตียงผู้ปุวย ควรมีระยะห่างระหว่างเตียงไม่น้อยกว่า 2 เมตร
เพือ่ ให้สามารถวางอุปกรณ์ช่วยชีวิตและสะดวกในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
13.19 แผนกไตเทีย ม มีส ถานที่และเฟอร์นิเจอร์สาหรับพักคอยของญาติผู้ปุว ย โดยแยกเป็น
สัดส่วนต่างหากจากบริเวณส่วนของผู้ปุวย
13.20 แผนกไตเทียมบริเวณตั้งเตียงผู้ปุวยมีระยะห่างระหว่างเตียงไม่น้อยกว่า 1.10เมตรและ
ความกว้างของทางเดินระหว่างปลายเตียงของสองฝากเตียงไม่น้อยกว่า 2 เมตร
13.21ห้องฟอกไตเทียมมีขนาดของห้องบริการฟอกเลือดที่สัมพันธ์กับจานวนเตียงและอุปกรณ์และ
พื้นที่ใช้สอยเหมาะสมในการปฏิบัติงานที่ได้มาตรฐานโดยมีพื้นที่ไม่ต่ากว่าสี่ตารางเมตรต่อหนึ่งจุดบริการโดยส่วนที่
แคบที่สุดไม่น้อยกว่า๑.๘เมตรเพื่อให้มีพื้นที่สามารถช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายผู้ปุวยฉุกเฉินได้โดยสะดวก
13.22 มีพื้นที่เตรียมน้าบริสุทธิ์ พื้นที่ล้างตัวกรอง
แผนกบริการเทคนิคการแพทย์
13.23 มีสถานที่เก็บสิ่งส่งตรวจเหมาะสม สะดวกต่อผู้รับบริการ
13.24 มีสถานที่ปฏิบัติเหมาะสมปลอดภัยมีการแยกพื้นทีปฏิบัติการเฉพาะเช่นงานธนาคารเลือด
งานจุลชีววิทยาคลินิกเป็นต้น
13.25 มีการเก็บรักษาวัตถุหรือสารเคมีและสารไวไฟโดยจัดไว้เป็นหมวดหมู่มีปูายและฉลากแสดง
ถูกต้องครบถ้วน
13.26 แผนกบริการแพทย์แผนไทยห้องอบไอน้าสมุนไพรรวมต้องแยกห้องให้บริการชาย–หญิงหรือ
ถ้าไม่สามารถแยกได้ต้องบริหารจัดการเวลาการให้บริการแก่ผู้รับบริการชาย-หญิงได้อย่างเหมาะสม
13.27 แผนกบริการแพทย์แผนไทยห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า(ถ้ามี) ต้องมีขนาดตามเกณฑ์มาตรฐานโดย
แยกห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชาย–หญิง แต่หากไม่สามารถแยกได้ต้องบริหารจัดการเวลาการใช้ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของ
ผู้รับบริการชาย-หญิงได้อย่างเหมาะสม
13.28 แผนกบริการการแพทย์แผนจีน เตียงสาหรับนวดหรือฝังเข็มมีขนาดความกว้างไม่น้อยกว่า
0.70 เมตร ความยาวไม่น้อยกว่า๑.๘๐ เมตร ความสูงไม่ต่ากว่า 0.70เมตรและระยะห่างระหว่างเตียงไม่น้อยกว่า
๑ เมตร
13.29 แผนกบริการการแพทย์แผนจีนเตียงต้องมีลักษณะมั่นคงแข็งแรงตามมาตรฐานการประกอบ
โรคศิลปะสาขาแพทย์แผนจีนกาหนด
หมวดงานภูมิทัศน์
14.ภูมิทัศน์และสภาพแวดล้อม
14.1 บริเวณพักผ่อน มีพื้นที่รองรับเพียงพอต่อผู้ใช้บริการ มีความร่มรื่น สวยงาม สงบ มีอากาศ
ถ่ายเทที่ดี และเหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละวัยทั้งเด็กและผู้สูงอายุ
14.2พื้นที่ระหว่างอาคาร มีการจัดภูมิทัศน์ ใช้พรรณไม้ที่ดูแลรักษาง่ายหรือใช้วัสดุตกแต่งพื้นผิวซึม
น้า (Porous Pavement)
14.3 มีการจัดทาแผนปฏิบัติการ เช่น แผนการดูแลรักษาพืชพรรณไม้ แผนการแก้ไขน้าท่วมขัง
บริเวณถนน-ทางเดินเท้าแผนการดูแลรักษาความสะอาดไม่ให้มีเศษขยะแผนการจัดให้มีถังขยะเพียงพอ เป็นต้น
หมวดงานโครงสร้าง

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า23/56


15.โครงสร้างอาคาร (ความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร)
15.1 มีแผนงานในการเฝูาระวังให้อาคารมีสภาพพร้อมใช้งานและมั่นคงแข็งแรง
15.2 มีการตรวจสอบสภาพอาคารและบันทึกการตรวจสภาพอาคารพร้อมมีรายงานผลต่อหัวหน้า
หน่วยงานหรือผู้บริหารโรงพยาบาล
15.3 มีการตรวจสอบอาคารตามที่กฎหมายกาหนด
หมวดงานระบบไฟฟ้า
16.ระบบไฟฟ้ากาลัง
16.1 มีแผนผังระบบไฟฟูากาลัง
16.2 แนวการปักเสาพาดสายไฟฟูาเป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัย
16.3 บริเวณที่ติดตั้งหม้อแปลงไฟฟูาแบบตั้งพื้นและนั่งร้านต้องมีที่ว่างเพื่อปฏิบัติงานและมีการ
ปูองกันอันตรายจากไฟฟูามีพื้นที่เพียงพอต่อการซ่อมบารุงและรถซ่อมบารุงสามารถเข้าถึงได้ มีปูายแจ้งเตือนระวัง
อันตรายไฟฟูาแรงสูง
16.4 สายไฟฟูามีระยะห่างจากตัวอาคารที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายและมีความสูงจากผิวจราจรหรือ
ทางเดินที่เหมาะสมโดยไม่กีดขวางและไม่เป็นอันตรายต่อบุคคลทั่วไป
16.5 มีกระแสไฟฟูาจ่ายให้กับอุปกรณ์ที่ใช้กับผู้รับบริการอย่างเพียงพอตลอด 24 ชั่วโมง
16.6 มีการติดตั้งแผงจ่ายไฟฟูาหลัก (ตู้ MDB) อยู่ในห้องที่ทาด้วยวัสดุมั่นคงแข็งแรง มีที่ว่างเพื่อ
ปฏิบัติงานสามารถเข้าตรวจสอบและซ่อมบารุงได้สะดวก มีปูายแจ้งเตือนระวังอันตรายจากไฟฟูา
16.7 ตู้สวิทช์ตัดตอน (PANEL BOARD) มีที่ว่างเพื่อปฏิบัติงานสามารถเข้าตรวจสอบได้ง่ายและอยู่
ในสภาพที่ยึดติดแน่นมั่นคงแข็งแรง
16.8 มีระบบการต่อลงดินของหม้อแปลงไฟฟูาและแผงจ่ายไฟฟูาหลัก(ตู้ MDB)
16.9 มีระบบการต่อลงดินของแหล่งจ่ายไฟฟูาแยกต่างหาก เช่น เครื่องกาเนิดไฟฟูาสารองฉุกเฉิน
การติดตั้งต้องให้สอดคล้องกับ ATS 3P หรือ ATS 4P
16.10 การต่อลงดินในพื้นที่ที่ไม่มีการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ไฟฟูา (กลุ่ม 0)และพื้นที่ที่มีการใช้
เครื่องมืออุปกรณ์ไฟฟูา (กลุ่ม 1)สายดินติดตั้งต้องเป็นแบบแยก (TN–S)
16.11 การต่อลงดินในพื้นที่ที่มีการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ไฟฟูา (กลุ่ม 2)(ยกเว้นกลุ่ม 1)เช่น บริเวณ
ห้องผ่าตัด,ห้อง ICU ฯลฯ ซึ่งการจ่ายไฟฟูาที่ไม่ต่อเนื่องสามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ สายดินติดติดตั้งเป็น
แบบแยกออกจากระบบ (IT)
17.ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง
17.1 ภายนอกอาคารมีการติดตั้งเสาไฟฟูาแสงสว่างหรือดวงโคมที่ให้ความสว่างในเวลากลางคืนได้
อย่างพอเพียง สภาพของเสาไฟฟูาและดวงโคมมีการติดตั้งอย่างมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย
17.2 ภายในอาคารมีค่าความเข้มของแสงสว่างพอเพียงและเหมาะสมต่อพื้นที่ใช้งาน
17.3 ภายนอกอาคารมีอุ ปกรณ์ ปูอ งกั น การใช้ก ระแสไฟฟูา เกิ นและปูอ งกั นอั นตรายจาก
กระแสไฟฟูารั่ว
18.ระบบไฟฟ้าสารองฉุกเฉิน
18.1 มีระบบไฟฟูาสารองฉุกเฉินในการทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟูา ต้องสามารถจ่ายไฟใช้งาน
ภายใน 10 วินาที ภายหลังระบบไฟฟูากาลังหลักหยุดทางาน
18.2 เครื่องกาเนิดไฟฟูาสารองต้องอยู่ในที่มิดชิด โดยอาจอยู่ภายในอาคารหลักหรืออยู่เป็นอาคาร
แยกต่างหาก มีการปูองกันแรงสั่นสะเทือนและเสียงจากเครื่อง มีประตูทางเข้าออกสะดวกและกว้างเพียงพอต่อ
การเคลื่อนย้ายหรือซ่อมบารุง โดยมีระยะห่างโดยรอบจากเครื่องกับผนังไม่น้อยกว่า 1 เมตร

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า24/56


18.3 มีการทดสอบการทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟูาสารองเป็นประจาและมีน้ามันสารองสาหรับ
การเดินเครื่องอย่างเพียงพอไม่น้อยกว่า8ชั่วโมง
18.4 ภายในอาคารที่ติดตั้งเครื่องกาเนิดไฟฟูาสารองต้องมีการระบายอากาศที่ดีและสะอาดมีแสง
สว่างเพียงพอในการตรวจสอบการทางานของเครื่อง
18.5 ต้องมีรางระบายน้าภายในห้องเครื่องในตาแหน่งที่เหมาะสมหรือรอบแท่นเครื่องสาหรับการ
ระบายน้าเวลาที่ทาความสะอาดพื้น
18.6 เครื่องกาเนิดไฟฟูาต้องมีขนาดกาลังที่เหมาะสมและเพียงพอสามารถจ่ายกระแสไฟฟูาสารอง
ให้กับดวงโคมและอุปกรณ์การแพทย์ที่จาเป็นในแผนกอุบัติเหตุ ห้องผ่าตัดหอผู้ปุวยหนัก ห้องคลอดและธนาคาร
เลือดเป็นอย่างน้อย
18.7 มีเครื่องสารองไฟฟูาฉุกเฉิน (UPS) จ่ายให้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สาคัญสาหรับวงจร
ช่วยชีวิตซึ่งไม่สามารถหยุดได้ มีการใช้อย่างต่อเนื่องเพียงพอและเหมาะสม โดยอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน
18.8 บันไดทางหนีไฟทางสัญจรห้องเครื่องและหน่วยบริการอื่นๆต้องมีระบบไฟฟูาแสงสว่างฉุกเฉิน
ซึ่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพิ่มเติมตามความเหมาะสมตามมาตรฐานระบบไฟฟูาแสงสว่างฉุกเฉินและโคมไฟปูาย
ทางออกฉุกเฉินของ วสท.
- การให้แสงสว่างเพื่อการหนีไฟเพื่อให้เห็นทางหนีไฟชัดเจนปลอดภัยและเพื่อให้เห็นอุปกรณ์แจ้ง
เหตุด้วยมือและอุปกรณ์ผจญเพลิงที่ติดตั้งได้ชัดเจนการให้แสงสว่างเพื่อการหนีไฟไม่ได้มีไว้เพื่อให้แสงสว่างเฉพาะ
เมื่อระบบจ่ายไฟฟูาปกติทั้งระบบล้มเหลวแต่เพียงอย่างเดียวแต่มีไว้ให้แสงสว่างเมื่อมีความล้มเหลวของการจ่ายไฟ
ในพื้นที่นั้นๆด้วยช่วงเวลาการส่องสว่างเพื่อการหนีไฟต้องไม่น้อยกว่า 180 นาทีและช่วงเวลาการส่องสว่างสารอง
ที่ไม่ใช้สาหรับหนีไฟต้องไม่น้อยกว่า 120 นาที
- การให้แสงสว่างฉุกเฉินต้องมีแหล่งจ่ายไฟอิสระที่ไม่ขึ้นกับแหล่งจ่ายไฟแสงสว่างปกติและไม่
อนุญาตให้ใช้เครื่องกาเนิดไฟฟูาเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับโคมไฟฟูาฉุกเฉินและต้องใช้วงจรไฟฟูาจากวงจรไฟฟูาแสง
สว่างของในพื้นที่นั้นๆการติดตั้งดวงโคมไฟฟูาฉุกเฉินต้องติดตั้งสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 2 เมตรโดยวัดจากพื้นถึง
ด้านล่างของโคมกรณีติดตั้งต่ากว่า 2 เมตรจะต้องไม่กีดขวางเส้นทางหนีไฟ
- การเดินสายไฟฟูาสาหรับโคมไฟต่อพ่วงและมีแหล่งจ่ายไฟส่วนกลางวงจรไฟฟูาที่จ่ายให้กับโคม
ไฟฟูาฉุกเฉินจะต้องแยกอิสระจากอุปกรณ์ไฟฟูาอื่นๆและสายไฟฟูาที่ใช้จะต้องเป็นสายทนไฟติดตั้งในช่องเดินสาย
- โคมไฟฟูาปู ายทางออกฉุกเฉินรายละเอียดคุณสมบัติและการติดตั้งให้ ยึดถือเป็นไปตาม
มาตรฐานระบบไฟฟูาแสงสวางฉุกเฉินและโคมไฟฟูาปูายทางออกฉุกเฉินของ วสท. ระยะห่างระหว่างปูายสาหรับ
สัญลักษณ์ที่มีความสูง 10 เซนติเมตรต้องมีระยะไม่เกิน 24 เมตรและให้ติดตั้งเพิ่มเติมด้านบนที่ จุดทางเลี้ยวทาง
แยกและเหนือประตูทางออกสุดท้ายด้วย
- ควรติดตั้งปูายทางออกด้านล่างเป็นปูายเสริมโดยขอบล่างของปูายสูงจากพื้น 15-20
เซนติเมตรและขอบของปูายอยู่ห่างจากขอบประตูไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตรเป็นปูายเครื่องหมายบอกทางเรือง
แสง (Photoluminescent Escape Sign) สามารถสะสมแสงรอบตัวและเรืองแสงได้ โดยไม่พึ่งพาไฟฟูาโดยติดตั้ง
ทุกตาแหน่งประตูเส้นทางหนีไฟทุกทางแยกทางเลี้ยวและแนวเส้นทางหนีไฟทุกระยะ 24 เมตร

รูปแบบสัญลักษณ์โคมไฟฟูาปูายทางออกฉุกเฉิน

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า25/56


18.9 ระบบนาทางเรืองแสงเพื่อการอพยพหนีภัย (ถ้ามี) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการอพยพหนีภัย
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินให้แก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและประชาชนตามเกณฑ์มาตรฐานที่กาหนด
19.ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้
19.1 มีการติดตั้งระบบแจ้ งเหตุเพลิงไหม้ในทุกชั้นของอาคาร ประกอบด้วยอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่
สามารถส่งเสียงหรือสัญญาณ ให้ผู้ที่อยู่ภายในอาคารได้ยินหรือทราบอย่างทั่วถึง โดยการควบคุมด้วยมือหรือด้วย
ระบบอัตโนมัติ ในตาแหน่งที่เหมาะสม เช่น โถงพักรอ ห้องพักผู้ปุวย ห้องทางาน เป็นต้น
20.ระบบป้องกันการเข้า-ออก
20.1 มีการติดตั้งระบบปูองกันการเข้าออก เพื่อปูองกันการเข้าถึงในสถานที่เฉพาะที่ต้องการความ
ปลอดภัย
20.2 มีระบบหรือวิธีการรักษาความปลอดภัยของพยาบาลใน nurse station
21.ระบบป้องกันแรงดันและกระแสเกิน
21.1 มีการติดตั้งอุปกรณ์ปูองกันแรงดัน และกระแสเกินที่แผงจ่ายไฟฟูาหลัก (ตู้ MDB) เพื่อปูองกัน
แรงดันและกระแสไฟเกินทีเ่ กิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ฟูาผ่า, สวิทต์ชิ่ง,การลัดวงจร เป็นต้น
หมวดงานระบบประปาและสุขาภิบาล
22.ระบบประปา
22.1 มีแผนผังประปา
22.2 มีระบบจ่ายน้าที่สะอาดไม่ปนเปื้อนสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่มีการรั่วซึมและมีแรงดัน
เพียงพอต่อการใช้งาน
22.3 มีการสารองน้าประปา
22.4 ถังเก็บน้าสารองต้องมีฝาถังปิดมิดชิด มีกุญแจล็อค ปูองกันสัตว์ แมลงและคนตกลงไปในถัง
22.5 ระบบสารองน้าประปาจะต้องไม่รั่วซึมและติดตั้งในสถานที่เหมาะสมไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน
ต่อคุณภาพน้าประปาเช่นระดับฝาถังเก็บน้าใต้ดินต้องสูงกว่าระดับรางระบายน้าฝนทั่วไปโดยสารองน้าไว้ใช้ได้อย่าง
น้อย 2 วัน
22.6 มีระบบการทาน้าบริสุทธิ์ที่ได้มาตรฐาน (WaterTreatmentSystem) เช่น
ReverseOsmosis,Deionizer)พร้อมเกณฑ์การทาความสะอาดระบบน้าและควบคุมคุณภาพของน้าบริสุทธิ์อยู่
ตลอดเวลา
23.ระบบระบายน้าและระบบสุขาภิบาล
23.1มีผังระบบระบายน้าและระบบสุขาภิบาล
23.2 มีระบบระบายน้าฝนจากอาคารสู่แหล่งระบายน้าสาธารณะ
23.3 มีการแยกประเภทท่อต่างๆ
23.4 มีระบบสุขาภิบาลสาหรับห้องปฏิบัติการ
หมวดงานระบบเครื่องกล
24.ลิฟท์
24.1 มีการแยกประเภทของลิฟต์ตามการใช้งาน ได้แก่ ลิฟต์โดยสาร ,ลิฟต์ขนของ , ลิฟต์สาหรับ
พนักงานดับเพลิง
24.2 มีขนาดและจานวนเพียงพอต่อการใช้งาน
24.3 บริเวณโถงหน้าลิฟต์บรรทุกเตียงคนไข้ ต้องมีพื้นที่สามารถเข็นเปลนอนสวนกันได้
24.4 กาหนดให้มีลิฟต์สาหรับผู้พิการและทุพพลภาพสามารถใช้งานได้

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า26/56


24.5 บริเวณโถงหน้าลิฟต์และภายในห้องโดยสาร ต้องสะอาดมีระบบระบายอากาศและแสงสว่าง
ภายในห้องโดยสารที่เหมาะสม
24.6 กรณีไฟฟูาดับ จัดให้มีระบบ ARD (Automatic Rescue Device) เพื่อให้ลิฟท์สามารถ
เคลื่อนไปเทียบยังชั้นที่ใกล้ที่สุดและประตูลิฟท์จะต้องเปิดออกทันที
25.ระบบระบายอากาศและปรับอากาศ
25.1 พื้นที่ให้บริการและพื้นที่ปฏิบัติงาน ต้องมีอากาศที่สะอาดจากภายนอกเติมเข้าสู่พื้นที่
บริการ/ปฏิบัติงาน ให้ได้อัตราการถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม ทั้งโดยวิธีธรรมชาติหรือวิธีกล
25.2มีการควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ของอากาศในบริเวณห้องตรวจ
25.3 มีระบบควบคุมการติดเชื้อที่ได้มาตรฐาน
25.4 ห้องตรวจผู้ปุวยที่แสดงอาการโรคติดเชื้อทางอากาศ ต้องมีการควบคุมแรงดันอากาศ

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า27/56


ด้านที่ 4
ด้านสิ่งแวดล้อม

สิ่งแวดล้อม เป็นข้อกาหนดข้อแนะนาและแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล การประยุกต์ใช้


หลักการทางวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์ เพื่อการออกแบบ พัฒนา ปูองกัน และปรับปรุงแก้ไข สิ่งแวดล้อมใน
โรงพยาบาลให้เกิดความปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกโรงพยาบาล
1. การกาหนดนโยบายและการจัดการสิ่งแวดล้อม
1. มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน
2. มีการกาหนดโครงสร้างและอานาจหน้าที่ความรับผิดชอบในการจัดการสิ่งแวดล้อม
3. เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้รับการอบรม การพัฒนา ความรู้ ตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ เพื่อการบริหาร
จัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อองค์กร และชุมชนโดยรอบ
4. มีแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมหรือมาตรการ ตามนโยบายในการจัดการสิ่งแวดล้อม ใน
สถานพยาบาล
5. มีการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในสถานพยาบาลอย่างเป็นรูปธรรม
6. มีการดาเนินงานที่สอดคล้องกับกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อกาหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
7. การเฝูาติดตามและวัดผลในกิจกรรมซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
8. มีการดาเนินการแก้ไขและปูองกันจากกิจกรรมซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
9. มีการตรวจติดตามประสิทธิผลของการแก้ไขและการปูองกันด้านสิ่งแวดล้อม
2. การจัดการมูลฝอย (มูลฝอยทั่วไป, มูลฝอยติดเชื้อ, ของเสียอันตราย)
1. จัดให้มีผู้รับผิดชอบในการจัดการมูลฝอย
2. มีคู่มือกาหนดขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงาน
3. ผู้ปฏิบัติงานทราบขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงาน และมีการปฏิบัติตามคู่มือที่กาหนด พร้อมจด
บันทึกผลการปฏิบัติงานรายงานต่อผู้บังคับบัญชา
4. มีระบบการคัดแยกมูลฝอย ณ แหล่งกาเนิด ตามประเภทของมูลฝอย
5. มีการแยกมูลฝอยติดเชื้อระหว่างวัสดุมีคมและวัสดุไม่มีคม ภาชนะมีความคงทน และเหมาะสม
6. มีแผนการและวิธีการเก็บขนเคลื่อนย้ายมูลฝอยที่ถูกสุขลักษณะ
7. มีสถานที่พักมูลฝอยที่ถูกสุขลักษณะ
8. มูลฝอยติดเชื้อต้องเก็บกักไว้ไม่เกิน 7 วัน หากมีการเก็บกักมูลฝอยติดเชื้อไว้เกิน 7 วัน ที่พักรวม
มูลฝอยติดเชื้อ ต้องสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ 10 องศาเซลเซียส หรือต่ากว่านั้นได้
9.มีการกาจัดมูลฝอย (มูลฝอยทั่วไป,มูลฝอยติดเชื้อ,วัสดุและกากของเสียอันตราย) ที่ถูกสุขลักษณะ
หรือเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
๑0. มีบัญชีรายการของวัสดุและของเสียอันตรายที่มีในโรงพยาบาล
๑1. มีข้อปฏิบัติและดาเนินการในการจัดเก็บวัสดุและของเสียอันตรายอย่างปลอดภัย
3. การจัดการน้าเสีย
1.มีการบริหารจัดการปริมาณน้าทิ้งของสถานพยาบาลให้เกิดความเพียงพอ ปลอดภัย กับ
ความสามารถของระบบบาบัดน้าเสีย
2. มีผู้รับผิดชอบในการดูแลระบบบาบัดน้าเสียที่ผ่านการอบรมและมีเอกสารแสดงการมอบหมาย
หน้าที่เป็นลายลักษณ์อักษร
3. มีคู่มือกาหนดขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงาน ตามชนิดของระบบบาบัดน้าเสีย

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า28/56


4.ผู้ปฏิบัติงานทราบขั้นตอนวิธีการปฏิบัติงานและมีการปฏิบัติตามคู่มือที่กาหนด พร้อมจดบันทึกผล
การปฏิบัติงาน
5. มีผู้ควบคุมระบบบาบัดน้าเสียและได้รับการอบรมหลักสูตรการควบคุมระบบบาบัดน้าเสียและมี
การทบทวนอย่างน้อย 2 ปีครั้ง
6. มีแผนผังแสดงกระบวนการทางานของระบบบาบัดน้าเสียที่เป็นปัจจุบัน
7. มีอุปกรณ์เบื้องต้นที่จาเป็นในการดูแล ควบคุม ระบบบาบัดน้าเสีย
8. มีการจัดทาเอกสารกากับเครื่องจักรและอุปกรณ์ประกอบระบบบาบัดน้าเสียทุกเครื่อง (ขนาด
ชนิด อายุการใช้งานวิธีการใช้งาน ประวัติการซ่อม)
9. มีการตรวจวัดคุณภาพน้าทิ้งทุกๆ ๓ เดือน ตามมาตรฐานหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
10. มีการตรวจสอบการทางานของระบบบาบัดน้าเสีย พร้อมบันทึกผลการตรวจสอบประจาวัน
11. มีการบันทึกและรายงานผลการทางานของระบบบาบัดน้าเสียตามมาตรา 80 แห่ง
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
12. มีแผนงานการซ่อมบารุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามระยะเวลาที่กาหนดเป็นลายลักษณ์อักษร
4. การจัดการน้าอุปโภค-บริโภค
1. จัดให้มีผู้รับผิดชอบดูแลระบบน้าอุปโภคและบริโภค
2. มีคู่มือกาหนดขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงาน
3. ผู้ปฏิบัติงานทราบขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงานและมีการปฏิบัติตามคู่มือที่กาหนด พร้อมจด
บันทึกผลการปฏิบัติงาน
4. มีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้าอุปโภค บริโภคตามเกณฑ์มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขหรือ
มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง
5. มีการตรวจวัดค่าคลอรีนคงเหลือในน้าประปาประจาวันและตรวจหาค่าเชื้อโรคประจาเดือน
พร้อมบันทึกผลการตรวจสอบ
6. มีการจดบันทึกข้อมูลการใช้น้าประจาวัน
7. มีแผนและการดาเนินการระบบการดูแลรักษาถังพักน้าหรือถังสารองน้า อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง
8. มีการสารองน้าอุปโภคให้เพียงพอในสภาวะฉุกเฉิน อย่างน้อย ๓ วัน
5. การจัดการระบบส่องสว่าง
มีการตรวจวัดแสงสว่างในการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
6. การจัดการมลพิษทางเสียง
1. มีการกาหนดมาตรการและวิธีการปูองกันการควบคุมมลพิษทางเสียง เช่น ห้องเครื่อง ห้องอัด
อากาศพื้นที่ก่อสร้าง เป็นต้น
2. มีการตรวจวัดเสียงในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น ห้องเครื่อง ห้องอัดอากาศ พื้นที่ก่อสร้าง เป็นต้น
7. การควบคุมมลพิษทางอากาศ
มีการตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยปีละ
1 ครั้ง
8. การลดปริมาณของเสีย
มีแผนดาเนินการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการดาเนินงานและติดตามผล เพื่อลดการเกิดของเสีย
9. การจัดการด้านพลังงาน
มีแผนและการดาเนินงานในการส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงาน

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า29/56


ด้านที่ 5
ด้านความปลอดภัย

ความปลอดภัยเป็นข้อกาหนดข้อแนะนาและแนวทางการปฏิบัติ ในการกระทาหรือสภาพการทางานซึ่ง
ต้องปราศจากเหตุ อันจะทาให้เกิดการประสบอันตราย การเจ็บปุวยหรือความเดือดร้อนราคาญ อันเนื่องจาก
การทางานหรือเกี่ยวกับการทางานในโรงพยาบาลให้เกิดความปลอดภัยแก่บุคลากรและผู้เกี่ยวข้อง
1. การจัดการด้านความปลอดภัย
1. จัดให้มีนโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานของ
โรงพยาบาล
2. จัดให้มีผู้รับผิดชอบหรือคณะทางานที่ทาหน้าที่รับผิดชอบงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาล
3. จัดให้มีแผนงาน งบประมาณ การติดตามประเมินผล รายงานผลการทบทวนการดาเนินงานด้าน
ความปลอดภัยประจาปี
2. กฎ ระเบียบ มาตรฐานหรือคู่มือปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการทางาน
1. จัดให้มีกฎ ระเบียบ มาตรฐานหรือคู่มือปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการทางานเหมาะสมกับ
บริบทของโรงพยาบาล
2. จัดทามาตรการหรือแผนรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินตามปัจจัยเสี่ยงของโรงพยาบาล
3. มีวิธีการควบคุม กากับ ติดตามประเมินผล การปฏิบัติตาม กฎ ระเบียบ มาตรฐานหรือคู่มือความ
ปลอดภัยในการทางาน มาตรการหรือแผนรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และมีการทบทวนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
อย่างต่อเนื่อง
3. การอบรมบุคลากร
1. มีการอบรมหรือให้ความรู้บุคลากรทุกระดับตามช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมและทั่วถึง
เกี่ยวกับกฎ ระเบียบ คู่มือความปลอดภัยในการทางานของโรงพยาบาล และมีการทบทวนความรู้ตามระยะเวลาที่
เหมาะสม
2. มีการฝึกอบรมให้ความรู้เฉพาะด้านของบุคลากรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับงานในระบบวิศวกรรมที่
มีความเสี่ยงสูงหรือลักษณะงานอื่นที่มีความเสี่ยงตามบริบทของโรงพยาบาล โดยวิธี on the job training หรือส่ง
อบรมภายนอกและมีการติดตามประเมินผลและทบทวนความรู้อย่างต่อเนื่อง
4. สภาพแวดล้อม ความปลอดภัยในการทางานตามปัจจัยเสี่ยงของบุคลากร
1. จัดให้มีการตรวจวัดหรือประเมินสภาพแวดล้อมในการทางานตามปัจจัยเสี่ยงของบุคลากร อย่าง
น้อยปีละ 1 ครั้ง
2. จัดให้มีการตรวจสุขภาพของบุคลากรที่ทางานเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
3. มี ก ารตรวจสอบ ประเมิ น ค้ น หาความเสี่ ย งในระบบวิ ศ วกรรมที่ มี ค วามเสี่ ย งสู ง อย่ า งน้ อ ย
ปี ล ะ 1 ครั้ ง
4. มีแผนการตรวจสอบ ทดสอบ และบารุงรักษา อุปกรณ์ เครื่องจักรกล ในระบบวิศวกรรมที่มีความ
เสี่ยงสูงตามกาหนด อย่างต่อเนื่อง
5. มีแนวปฏิบัติฉุกเฉินเมื่อระบบทางด้านวิศวกรรมความเสี่ยงสูง อาทิ เช่น ระบบไฟฟูา ระบบก๊าซ
ทางการแพทย์ ระบบสุขาภิบาลหรือระบบอื่นตามบริบทของโรงพยาบาล ไม่สามารถใช้งานได้

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า30/56


5. การจัดการแบบแปลนแผนผังงานระบบวิศวกรรมที่มีความเสี่ยงสูง (ระบบไฟฟูา ระบบก๊าซทาง
การแพทย์ ระบบสุขาภิบาล ระบบบาบัดน้าเสีย ระบบปูองกันอัคคีภัย ระบบปรับและระบายอากาศแบบรวมศูนย์
ในพื้น ที่ทั่ว ไป ระบบปรั บ และระบายอากาศในพื้นที่ ที่มีก ารควบคุม ความดันบวกหรือลบ ระบบไอน้า ระบบ
เคลื่อนย้ายและขนส่ง และระบบสื่อสาร)
1. มีแบบแปลนแผนผังหรือรายละเอียดข้อมูลของระบบทางวิศวกรรมที่มีความเสี่ยงสูง
2. มีระบบการจัดเก็บ ทบทวน แบบแปลนแผนผังหรือรายละเอียดข้อมูลของระบบทางวิศวกรรมที่มี
ความเสี่ยงสูง
6. การตรวจสอบประสิทธิภาพระบบทางวิศวกรรมของห้องที่ให้บริการทางการแพทย์ที่สาคัญ
1. มีการตรวจสอบและการทดสอบระบบการทางานโดยผู้รับผิดชอบ
2. มีการตรวจสอบ ทดสอบ ทวนสอบตามมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง
7. คุณภาพของระบบไฟฟ้า
1. มีระบบตรวจติดตาม เฝูาระวัง ประเมินและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟูา ในระบบไฟฟูา
หลักและระบบไฟฟูาสารองให้เพียงพอ พร้อมใช้ ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
2. มีการจัดระดับความสาคัญการจ่ายโหลด มีแผนผัง หรือรายละเอียดข้อมูลของระบบการจ่ายไฟฟูา
สารอง
3. มีการทดสอบ ตรวจสอบการทางานของระบบจ่ายไฟฟูาสารองให้พร้อมใช้
4. มีการทดสอบ ตรวจสอบการทางานของอุปกรณ์สับเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟ (Transfer switch)
8. การจัดการระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย
1. มีนโยบายความปลอดภัยด้านการจัดการปูองกันและระงับอัคคีภัย มีผู้รับผิดชอบหรือคณะทางาน
ในการจัดการระบบปูองกันและระงับอัคคีภัยของโรงพยาบาล
2. มีการประเมินสถานภาพการจัดการปูองกันและระงับอัคคีภัยและทบทวนตามระยะเวลาที่
เหมาะสม
3. มีกระบวนการในการจัดการความเสี่ยงด้านอัคคีภัย
4. มีคู่มือระบบการปูองกันและระงับอัคคีภัยของโรงพยาบาล
5. มีแผนปูองกันและระงับอัคคีภัยของโรงพยาบาล
6. มีการจัดการฝึกซ้อมดับเพลิงขั้นต้น และอพยพหนีไฟที่สอดคล้องกับกฎหมาย
7. มีการตรวจสอบ ทดสอบ บารุงรักษาระบบปูองกันและระงับอัคคีภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
8. ความพร้อมของเส้นทางหนีไฟ
9. จัดเตรียมพื้นที่ หรือกาหนดจุดปลอดภัยในพื้นที่รักษาพยาบาลที่ผู้ปุวยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
สะดวก
10. จัดเตรียมพื้นที่จุดรวมพลภายนอกอาคารขณะเกิดอัคคีภัย
9. ระบบก๊าซทางการแพทย์
1. มีมาตรการรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อให้ระบบก๊าซทางการแพทย์สามารถใช้งานได้อย่าง
ต่อเนื่อง
2. มีการดูแลรักษา ซ่อมบารุงระบบก๊าซทางการแพทย์และอุปกรณ์ประกอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้
งานทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
3. มีการทดสอบ ตรวจสอบระบบสัญญาณเตือนของระบบก๊าซทางการแพทย์
4. มีปูายคาเตือนหรือสัญลักษณ์หรือตัวบ่งชี้ ที่เกี่ยวกับความปลอดภัย ไว้ที่บริเวณห้องหรือสถานที่

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า31/56


เก็บหรือติดตั้งท่อบรรจุ ถังบรรจุ ห้องระบบจ่ายก๊าซทางการแพทย์ แนวเส้นท่อและบริเวณลิ้นควบคุมประจาชั้น
หรือพื้นที่
10. พื้นที่กาเนิดรังสี
1. กาหนดหรือบ่งชี้บริเวณพื้นที่ที่มีรังสี มีเครื่องหมาย ปูายเตือนอันตรายจากรังสี สัญญาณเตือนภัย
ทีส่ อดคล้องกับกฎหมายหรือมาตรฐาน ติดแสดงให้เห็นโดยชัดเจน
2. มีปูายสัญลักษณ์ ปูายเตือนภัยตามแบบมาตรฐานในบริเวณพื้นที่กาเนิดรังสี
3. มีเอกสารแสดงผลการตรวจสอบความปลอดภัยของรังสีจากหน่วยงานรับผิดชอบ

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า32/56


ด้านที่ 6
ด้านเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข

หลักเกณฑ์ด้านเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขนี้เป็นข้อกาหนด ข้อแนะนาและแนวทาง
ปฏิบัติ ด้านเครื่องมือแพทย์ในโรงพยาบาลเป็นวิธีการเลือก การใช้ การดูแลชิ้นส่วนหรือกลไกตามระยะเวลาการใช้
งาน ให้ อ ยู่ ใ นสภาพสมบู ร ณ์ พ ร้ อ มใช้ ง านและความปลอดภั ย และมี ก ารบ ารุ ง รั ก ษาเครื่ อ งมื อ แพทย์ ที่ ใ ช้ ใ น
โรงพยาบาลเพื่อสร้างความมั่นใจว่าโรงพยาบาลมีเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์พร้อมใช้งาน ปลอดภัย
และเชื่อถือได้
1. การจัดหาและติดตั้งของเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
1. เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ใช้งานในโรงพยาบาลต้องได้รับรอง
มาตรฐานสากลหรือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และไม่เคยถูกแจ้งเตือนและเรียกคืนผลิตภัณฑ์
(Alerts and Recalls) โดยที่ผู้ผลิตหรือผู้นาปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์
2. การติดตั้งเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขต้องเป็นไปตามข้อกาหนดของผู้ผลิต
และต้องได้รับการทดสอบและตรวจสอบเครื่องมือก่อนการตรวจรับ เพื่อตรวจสอบสมบูรณ์พร้อมในการทางานของ
เครื่องและความสามารถในการเชื่อมต่อกับระบบสนับสนุนของโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย
3. ต้องมีการขออนุญาตติดตั้งและใช้งานเครื่องมือ หากมีข้อกฎหมายกาหนดไว้
4. ต้องจัดทาทะเบียนประวัติหรือฐานข้อมูลประวัติเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
5. ที่เป็นปัจจุบัน และมีการประเมินระดับความเสี่ยงของเครื่องมือที่ต้องการการบารุงรักษา
2. การใช้งานและบารุงรักษาตามรอบเวลาของเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
1. ผู้ใช้งานและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลบารุงรักษาตามรอบเวลาของเครื่องมืออุปกรณ์ทาง
การแพทย์และสาธารณสุขต้องผ่านกระบวนการอบรมการใช้งานและบารุงรักษาจากผู้ผลิตหรือจาหน่ายผลิตภัณฑ์
2. มีการตรวจสอบและบารุงรักษาตามรอบเวลาครอบคลุมทุกเครื่องมือที่ต้องการการบารุงรักษา
รวมถึงเครื่องมือบริจาคตามแผนและรอบระยะเวลา ตามข้อกาหนดของผู้ผลิตเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และ
สาธารณสุข หรือตามมาตรฐานของวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง หรือตามประกาศของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
3. ผู้ปฏิบัติงานในการตรวจสอบและบารุงรักษาตามรอบเวลาของเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์
และสาธารณสุขต้องมีประสบการณ์หรือคุณวุฒิที่เหมาะสมตามมาตรฐานของวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง หรือตามประกาศ
ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
3. ผลการตรวจสอบและบารุงรักษาตามรอบเวลาของเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และ
สาธารณสุข
1. การบารุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ต้องครอบคลุมการทดสอบหรือ
สอบเทียบประสิทธิภาพการทางาน การทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟูา การทดสอบทางกายภาพภายนอกและ
ฟังก์ชันการทางาน และการบารุงรักษาตามรอบเวลา
2. การบ่งชี้สถานะบารุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างชัดเจนเป็น
ปัจจุบันและสืบค้นหาผลการตรวจสอบย้อนหลังได้
3. วิธีการบารุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขปฏิบัติตามข้อกาหนดของผู้ผลิต
หรือตามมาตรฐานของวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง หรือตามประกาศของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
4. เครื่องมือมาตรฐานในงานบารุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขมีความ
เหมาะสมเป็นไปตามข้อกาหนดของผู้ผลิต หรือตามมาตรฐานของวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง หรือตามประกาศของกรม
สนับสนุนบริการสุขภาพ และเครื่องมือมาตรฐานต้องสามารถสอบกลับผลการวัดได้

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า33/56


4. การซ่อมบารุงหรือการบารุงรักษาเชิงแก้ไขของเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
1. มีหน่วยงานที่รับผิดชอบการซ่อมบารุงหรือการบารุงรักษาเชิงแก้ไขของเครื่องมืออุปกรณ์ทาง
การแพทย์และสาธารณสุขที่ชัดเจนในโรงพยาบาล
2. ผู้ปฏิบัติงานซ่อมบารุงหรือการบารุงรักษาเชิงแก้ไขต้องผ่านกระบวนการอบรมจากผู้ผลิตหรือ
จาหน่ายผลิตภัณฑ์ และต้องมีประสบการณ์หรือคุณวุฒิที่เหมาะสมตามมาตรฐานของวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง หรือตาม
ประกาศของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
3. ต้องทาการตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมทั้งปรับเทียบเครื่องมือใหม่ หลังจาก
ซ่อมบารุงหรือการบารุงรักษาเชิงแก้ไขแล้วเสร็จ
4. ผลการซ่อมบารุงหรือการบารุงรักษาเชิงแก้ไข ต้องประกอบไปด้วยคาอธิบายปัญหาและอาการที่
เกิดขึ้นของเครื่องมือ หมายเลขอะไหล่ที่ทาการเปลี่ยน ผู้ปฏิบัติงานซ่อมบารุงและแผนก หรือ หน่วยงานที่แจ้งการ
ซ่อมบารุงเป็นอย่างน้อย
5. การยกเลิกการใช้งานเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
1. มีหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจยกเลิกการใช้งานเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
โดยประเมินจากเครื่องมือแพทย์มีประวัติและค่าใช้จ่ายในการซ่อมที่ไม่คุ้มค่าเป็นอย่างน้อย
2. เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ถูกยกเลิกการใช้งานต้องนาออกจากพื้นที่ใช้
บริการทางการแพทย์และบ่งขี้สถานะการยกเลิกการใช้
3. เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ถูกยกเลิกต้องปรับปรุงสถานะของลงใน
ทะเบียนประวัติหรือฐานข้อมูลประวัติ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากมีข้อกฎหมายกาหนดไว้

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า34/56


ด้านที่ 7
ด้านระบบสนับสนุนบริการที่สาคัญ

ระบบสนั บ สนุน ที่ส าคัญ เป็น ระบบงานด้านวิศวกรรม ที่ ให้ การสนับสนุน งานการรักษาพยาบาลของ
สถานพยาบาล ให้สามารถดาเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการตรวจสอบ บารุงรักษาเป็นระยะๆ ให้มีความพร้อม
ใช้ตลอดเวลาและมีระบบสารองที่เพียงพอ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการทางการแพทย์
ระบบสื่อสารเป็นการกาหนดข้อแนะนาและแนวทางปฏิบัติด้านระบบสื่อสารที่ใช้ในโรงพยาบาล ได้แก่
1. ระบบเรียกพยาบาล
1. มีผู้รับผิดชอบ ด้านระบบเรียกพยาบาล
2.มีคู่มอื การใช้งานของระบบเรียกพยาบาล และวิธีการใช้งานอย่างง่ายที่จุดใช้งาน
3.การติดตัง้ อย่างน้อยประกอบด้วย ชุดควบคุมหลัก ชุดควบคุมที่หัวเตียงผู้ปุวย สวิตช์ฉุกเฉินสาหรับ
เรียกในห้องน้าผู้ปุวยและห้องน้าผู้พิการ
4.มีแผนผังระบบเรียกพยาบาลที่เป็นปัจจุบันและมีบัญชีครุภัณฑ์ของระบบเรียกพยาบาล
5.มีการตรวจสอบระบบประจาวัน ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และบันทึกเก็บไว้
6.มีแผนและประวัติการบารุงรักษาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
2. ระบบวิทยุคมนาคม
1. มีแผนงานบริหารจัดการ ผู้รับผิดชอบ ด้านระบบวิทยุคมนาคม ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
2.ผู้ใช้งานวิทยุคมนาคมต้องมีบัตรประจาตัวผู้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมแบบสังเคราะหความถี่
ที่ออกโดยคณะกรรมการบริหารและควบคุมการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม (คบค.)
3.มีคู่มือการใช้งานวิทยุคมนาคม
4.การติดตั้ง การใช้งาน การยกเลิก รื้อถอน เป็นไปตามที่กฎหมายกาหนด (คบค.)
5.มีบัญชีครุภัณฑ์เครื่องวิทยุคมนาคม
6.มีการตรวจสอบระบบประจาวัน ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และบันทึกเก็บไว้
7.มีแผนและประวัติการบารุงรักษาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
3. ระบบโทรศัพท์
1. มีผู้รับผิดชอบ ด้านระบบโทรศัพท์
2.มีบัญชีของหมายเลขโทรศัพท์ภายใน
3.มีแผนผังระบบโทรศัพท์ที่เป็นปัจจุบัน และมีบัญชีครุภัณฑ์ของระบบโทรศัพท์
4.มีการตรวจสอบระบบประจาเดือน ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และบันทึกเก็บไว้
5.มีแผนและประวัติการบารุงรักษาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
4. ระบบเสียงตามสาย
1. มีผู้รับผิดชอบด้านระบบเสียงตามสาย
2.มีคู่มือการใช้งานระบบเสียงตามสาย
3.มีแผนผังระบบเสียงตามสายที่เป็นปัจจุบัน และมีบัญชีครุภัณฑ์ของระบบเสียงตามสาย
4.มีการตรวจสอบระบบประจาวัน ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และบันทึกเก็บไว้
5.มีแผนและประวัติการบารุงรักษาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า35/56


5. ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
1. มีผู้รับผิดชอบด้านระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
2.มีห้องควบคุมหลัก และมีระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูล
3.มีคู่มือการใช้งานระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
4.มีแผนผังระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดทีเ่ ป็นปัจจุบัน และมีบัญชีครุภัณฑ์ของระบบกล้องโทรทัศน์
วงจรปิด
5.มีการตรวจสอบระบบประจาวัน ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และบันทึกเก็บไว้
6.มีแผนและประวัติการบารุงรักษาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
6.ระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูล
1. มีผู้รับผิดชอบ ด้านระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูล
2.มีคู่มือการใช้งานระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูล และระเบียบวิธีปฏิบัติการเข้าใช้ระบบเครือข่าย
สื่อสารข้อมูล
3.มีแผนผังระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และมีบัญชีครุภัณฑ์ของระบบเครือข่ายสื่อสาร
ข้อมูล
4.มีการตรวจสอบระบบประจาวัน ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และบันทึกเก็บไว้
5.มีแผนและประวัติการบารุงรักษาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า36/56


ด้านที่ 8
ด้านสุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ

สุขศึกษาหมายถึงกระบวนการจัดโอกาสการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านสุขภาพสร้างเสริมความสามารถ
ของบุคคลรวมถึงปัจจัยอื่นๆเกี่ยวกับสภาวะทางเศรษฐกิจสังคมสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอันจะนาไปสู่
การปรับเปลี่ยนสุขภาพและธารงพฤติกรรมสุขภาพที่ดีของบุคคลครอบครัวและชุมชน
เกณฑ์มาตรฐานระบบบริการสุขภาพด้านสุขศึกษาหมายถึงข้อกาหนดระบบคุณภาพที่จาเป็น (Essential
Requirements) สาหรับการทางานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพเพื่อให้การดาเนินงานสุขศึกษาใน
โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการที่ดีมีการจัดกระบวนงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพอย่า งเป็นระบบ
ถูกต้องตามหลักวิชาการและเชื่อถือได้สอดคล้องกับมาตรฐานที่เกี่ยวข้องทุกมาตรฐานเป็นแนวทางการพัฒนา
คุณภาพมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพทั้งในโรงพยาบาลและต่อเนื่องไปไปถึงชุมชนด้วยมาตรฐานนี้ใช้สาหรับการ
พัฒนาและการประเมินงานด้านสุขศึกษาของโรงพยาบาลที่เชื่อมโยงไปถึงชุมชนเนื้อหาในมาตรฐานครอบคลุมใน
เรื่องปัจจัยนาเข้าทรัพยากรและสิ่งสนับสนุนกระบวนการผลผลิตและผลลัพธ์ซึ่งข้อกาหนดในมาตรฐานฯพัฒนาให้
เหมาะสมกับแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) และระดับการให้บริการโดยแบ่งกลุ่มเปูาหมายการ
พัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานระบบบริก ารสุขภาพด้านสุขศึกษาเป็น 2 กลุ่ม (อ้างอิงตามประกาศกระทรวง
สาธารณสุ ขเรื่องการกาหนดลั กษณะของสถานพยาบาลและมาตรฐานซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องอยู่ในบังคับ
กฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลฉบับที่ 1)ดังนี้
1. สถานพยาบาลทั่วไป :โรงพยาบาลซึ่งให้บริการแก่ผู้ปุวยด้วยโรคทั่วไปมิ ได้จากัดเฉพาะโรคใด
โรคหนึ่ง
2. สถานพยาบาลเฉพาะทาง
2.1 ประเภทเฉพาะทาง :โรงพยาบาลที่จัดให้มีการประกอบวิชาชีพเฉพาะทางด้านเวช
กรรมเช่นโรงพยาบาลเฉพาะทางหูตาคอจมูกโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคทรวงอกโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง
เป็นต้น
2.2 ประเภทเฉพาะประเภทผู้ปุวย :โรงพยาบาลที่จัดให้มีการประกอบวิชาชีพตาม
ลักษณะเฉพาะประเภทผู้ปุวยเช่นผู้ปุวยจิตเวชผู้สูงอายุแม่และเด็กบาบัดยาเสพติดเป็นต้น
2.3 ประเภทเฉพาะด้านวิชาชีพ :โรงพยาบาลที่จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพตามด้านนั้นๆ
เช่น ทันตกรรมกายภาพบาบัดการแพทย์แผนไทยเป็นต้น
ด้านเนื้อหากระบวนการจะมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพใน 2 กลุ่มหลักคือ
1. กระบวนงานสุขศึกษาในกลุ่มไม่ปุวยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน
2. กระบวนงานสุขศึกษาในกลุ่มปุวยเพื่อส่งเสริมการจัดการตนเองในผู้ปุวยและครอบครัว
1. โครงสร้างมาตรฐานระบบบริการสุขภาพด้านสุขศึกษาแบ่งเป็น 3 หมวดดังนี้
หมวดที่ 1 การบริหารจัดการ
- นโยบายด้านสุขศึกษาหรือส่งเสริมสุขภาพของโรงพยาบาลที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของเครือข่าย
-บุคลากรดาเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
หมวดที่ 2 กระบวนงานสุขศึกษา
-กระบวนงานสุขศึกษาในกลุ่มไม่ปุวยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน
-กระบวนงานสุขศึกษาในกลุ่มปุวยเพื่อส่งเสริมการจัดการตนเองในผู้ปุวยและครอบครัว

หมวดที่ 3 ผลลัพธ์การดาเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า37/56


-พฤติกรรมสุขภาพ (HB) หรือความรอบรู้ด้านสุขภาพ (HL) หรือพฤติกรรมการจัดการสุขภาพตนเอง
-ภาวะสุขภาพ
-นวัต กรรมหรื อต้ น แบบหรื อผลงานเด่นที่ ประสบความส าเร็ จในการดาเนิน งานสุ ข ศึกษาและพั ฒ นา
พฤติกรรมสุขภาพ
-ความพึงพอใจต่อกระบวนการสุขศึกษา
2. แนวทางการดาเนินงานมาตรฐานระบบบริการสุขภาพด้านสุขศึกษา
หมวดที่ 1 การบริหารจัดการ
เกณฑ์
1. นโยบายด้านสุขศึกษาหรือสร้างเสริมสุขภาพของโรงพยาบาล
นโยบายต้องสอดคล้องกับเปูาหมายและวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลและเกิดจากการมีส่วนร่วม
ของเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง
2. บุคลากรดาเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
บุคลากรมีคุณวุฒิ และประสบการณ์ที่เหมาะสมเพียงพอและมีแผนการพัฒ นาบุคลากรอย่าง
ต่อเนื่อง
หมวดที่ 2 กระบวนงานสุขศึกษา
I. กระบวนงานสุขศึกษาในกลุ่มไม่ป่วยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน
เกณฑ์
3. มีข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพ(HB) และหรือข้อมูลความรอบรู้ด้านสุขภาพ( HL) ที่สอดคล้องกับ
ปัญหาสาธารณสุขที่สาคัญเพื่อนามาใช้ประโยชน์ในการวางแผนการดาเนินงานสุขศึกษา (การกาหนดวัตถุประสงค์
เชิงพฤติกรรม)
4. มีข้อมูลปัจจัยสาเหตุพฤติกรรมสุขภาพที่สอดคล้องกับปัญหาสาธารณสุขที่สาคัญมีการนา
ข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการดาเนินงานสุขศึกษา (การออกแบบกิจกรรม)
5. มีแผนงานหรื อโครงการหรือโปรแกรมสุ ขศึกษาหรือแผนการจัดกิจกรรมสุ ขศึกษาที่ มี
วัตถุประสงค์หรือตัวชี้วัดพฤติกรรมสุขภาพที่สอดคล้องกับปัญหาสาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล
6. มีกิจกรรมและสื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่สอดคล้องกับปัจจัย สาเหตุพฤติกรรม
สุขภาพและปัญหาความต้องการและวิถีชีวิตของกลุ่มเปูาหมาย
7. แผนงานหรือโครงการหรือโปรแกรมสุขศึกษาหรือแผนการจัดกิจกรรมสุขศึกษาจัดทาโดยการ
มีส่วนร่วมของคณะกรรมการสุขศึกษาทีมสหวิชาชีพหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายตัวแทนภาคประชาชน
8. มีแนวทางการประเมินผลการดาเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพที่ระบุตัวชี้วัด
พฤติกรรมสุขภาพเครื่องมือระยะเวลาและกลุ่มเปูาหมาย
9. มีการจัดกิจกรรมตามแผนงานหรือโครงการหรือโปรแกรมสุขศึกษาหรือแผนการจัดกิจกรรม
สุขศึกษาครบตามแผนที่กาหนดและการดาเนินกิจกรรมใช้การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสุขศึกษาหรือทีมสห
วิชาชีพหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนภาคประชาชน
10. มีการสนับสนุนเสริมพลังให้กับภาคีเครือข่ายแกนนาสุขภาพภาคประชาชนในการดาเนินงาน
สุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
11. มีการประเมินผลและรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษรการประเมินกิจกรรม/กระบวนการ
ระหว่างดาเนินโครงการหรือประเมินตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ตั้งไว้เมื่อสิ้นสุดโครงการ
12. มีการเฝู าระวังพฤติกรรมสุขภาพและนาผลการเฝู าระวังไปใช้ในการปรับกิจกรรมใน
แผนงาน/โครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า38/56


II. กระบวนงานสุขศึกษาในกลุ่มป่วยเพื่อส่งเสริมการจัดการตนเองในผู้ป่วยและครอบครัว
เกณฑ์
13. มีข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพ(HB) และหรือข้อมูลความรอบรู้ด้านสุขภาพ( HL) ที่สอดคล้องกับ
ปัญหาสาธารณสุขที่สาคัญเพื่อนามาใช้ประโยชน์ในการวางแผนการดาเนินงานสุขศึกษา (กาหนดวัตถุประสงค์เชิง
พฤติกรรม)
14. มีข้อมูลปัจจัยสาเหตุพฤติกรรมสุขภาพที่สอดคล้องกับปัญหาสาธารณสุขที่สาคัญมีการนา
ข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการดาเนินงานสุขศึกษา (ออกแบบกิจกรรม)
15. มีแผนงานหรื อโครงการหรือโปรแกรมสุขศึกษาหรือแผนการจัดกิจกรรมสุ ขศึกษาที่มี
วัตถุประสงค์หรือตัวชี้วัดพฤติกรรมสุขภาพที่สอดคล้องกับปัญหาสาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล
16. มีกิจกรรมและสื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่สอดคล้องกับปัจจัยสาเหตุพฤติกรรม
สุขภาพและปัญหาความต้องการและวิถีชีวิตของกลุ่มเปูาหมาย
17. แผนงานหรือโครงการหรือโปรแกรมสุขศึกษาหรือแผนการจัดกิจกรรมสุขศึกษาจัดทาโดย
การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสุขศึกษาทีมสหวิชาชีพหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายตัวแทนภาคประชาชน
18. มีแนวทางการประเมินผลการดาเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพที่ระบุตัวชี้วัด
พฤติกรรมสุขภาพเครื่องมือระยะเวลาและกลุ่มเปูาหมาย
19. มีการจัดกิจกรรมตามแผนงานหรือโครงการหรือโปรแกรมสุขศึกษาหรือแผนการจัดกิจกรรม
สุขศึกษาครบตามแผนที่กาหนดและการดาเนินกิจกรรมใช้การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสุขศึกษาหรือทีมสห
วิชาชีพหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนภาคประชาชน
20. มีการสนับสนุนเสริมพลังให้กับภาคีเครือข่ายแกนนาสุขภาพภาคประชาชนในการดาเนินงาน
สุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
21. มีการประเมินผลและรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษรการประเมินกิจกรรม/กระบวนการ
ระหว่างดาเนินโครงการหรือประเมินตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ตั้งไว้เมื่อสิ้นสุดโครงการ
22. มีการเฝู าระวังพฤติกรรมสุขภาพและนาผลการเฝู าระวังไปใช้ในการปรับกิจกรรมใน
แผนงาน/โครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
หมวดที่ 3 ผลลัพธ์การดาเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
เกณฑ์
23. กลุ่มเปูาหมายที่ผ่านกระบวนการสุขศึกษามีพฤติกรรมสุขภาพ (HB) หรือความรอบรู้ทาง
สุขภาพ(HL) ในปัญหาสาธารณสุขที่สาคัญเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น
24. กลุ่มเปูาหมาย (กลุ่มปกติกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มปุวย) ที่ผ่านกระบวนการสุขศึกษามีภาวะ
สุขภาพที่ดีขึ้น
25. มีนวัตกรรมหรืองานวิจัยหรือต้นแบบหรือผลงานเด่นที่ประสบความสาเร็จในการดาเนินงาน
สุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
26. ร้อยละของกลุ่มเปูาหมายมีความพึงพอใจต่อกระบวนการสุขศึกษาตามแผนงานโครงการ

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า39/56


ด้านที่ ๙
ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

ตามที่ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ พระราชบัญญัติการ


รักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.๒๕๖๒ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒
พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.๒๕๔๔ รวมทั้งระเบียบกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การ
คุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ.๒๕๖๑ และที่เกี่ยวข้อง ที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง
จากการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพ
สถานพยาบาลควรต้อง มีการกาหนดนโยบายและวัตถุประสงค์ ระบบการจัดการและกาหนดขั้นตอนในการ
นาไปปฏิบัติ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นความสาเร็จตามเกณฑ์ที่กาหนด ให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาระบบการจัดการคุณภาพ
อย่างต่อเนื่อง มีการดาเนินงานตามเกณฑ์มาตรฐาน อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ มีความมั่นคงปลอดภัย มีความ
เชื่อถือได้และสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง สามารถปูองกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้งานระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศในลักษณะที่ไม่ถูกต้องและการคุกคามจากภัยต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัย เชื่อมั่นในการเข้าใช้
บริการในระบบบริการสุขภาพ จาเป็นต้องมีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในระดับสูงเพื่อคุ้มครองประชาชนหรือ
ประโยชน์ที่สาคัญของประเทศ
1. โครงสร้างและบทบาท ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
1.1 มีการจัดทีมดูแลระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลประกอบด้วยผูบ้ ริหารและฝุายเทคโนโลยีสารสนเทศ
1.2มีการจัดทาแผนแม่บทหรือแผนพัฒนาของโรงพยาบาลโดยมีการกาหนดเปูาหมายและแนวทางการ
พัฒนาและการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศไว้อย่างชัดเจน
1.3 มีนโยบายและแผนการปฏิบัติด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาล
1.4 มีการจัดโครงสร้างและอัตรากาลังของหน่วยงานสารสนเทศของโรงพยาบาลที่เหมาะสม
1.5 มีการกาหนดมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ ที่จาเป็นสอดคล้องกับมาตรฐานของประเทศหรือ
มาตรฐานสากล ได้แก่ มาตรฐานข้อมูล มาตรฐานรหัสข้อมูล มาตรฐานการปฏิบัติงาน มาตรฐานความปลอดภัยและ
ความลับของผู้ปุวย มาตรฐานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มาตรฐานทางกายภาพและสภาพแวดล้อม
2. การจัดการความเสี่ยงในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.1 มีกระบวนการประเมินและให้คะแนนความเสี่ยงของระบบสารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมของทุก
ฝุาย
2.2 มีแผนจัดการความเสี่ยงเป็นลายลักษณ์อักษร โดยกาหนดกลยุทธ์โครงการ ระยะเวลาดาเนินการ
ผู้รับผิดชอบ อย่างชัดเจน
2.3 มีการดาเนินการตามแผนจัดการความเสี่ยง
2.4 มีการติดตาม ประเมินผลการดาเนินการจัดการความเสี่ยง และวิเคราะห์ผลการประเมิน จัดทาเป็นรายงาน
2.5 มีการนาผลการประเมินการดาเนินการจัดการความเสี่ยงมาปรับแผนการจัดการความเสี่ยงให้ดีขึ้น
3. การจัดการความมั่นคงปลอดภัยในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
3.1 มีการจัดทานโยบายและระเบียบปฏิบัติด้านความมั่นคงปลอดภัยในระบบ IT
3.2มีนโยบายและระเบียบปฏิบัติที่อนุญาตให้เฉพาะผู้ที่รับผิดชอบดูแลรักษาผู้ปุวยในช่วงเวลาปัจจุบัน
เท่านั้นที่จะเข้าถึงข้อมูลผู้ปุวยรายนั้นได้

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า40/56


3.3 มีนโยบายและระเบียบปฏิบัติที่ปูองกันความลับผู้ปุวยมิให้รั่วไหลทุกช่องทาง รวมทั้งช่องทาง Social
Media ทุกด้าน
3.4 มีการประชาสัมพันธ์นโยบายและระเบียบปฏิบัติให้บุคลากรทุกคนได้รับทราบ
3.5 มีการตรวจสอบว่าบุคลากรได้รับทราบ เข้าใจ ยอมรับ และปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติด้านความมั่นคง
ปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
3.6มีการประเมินผลการปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติและนาผลการประเมินมาปรับกระบวนการบังคับใช้
ระเบียบปฏิบัติต่อไป
4. การจัดการศักยภาพของทรัพยากรในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
4.1 มีการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและ Gap Analysis ของทรัพยากรด้าน Hardware, Software,
Network, บุคลากร
4.2 มีการจัดทาแผนเพิ่มหรือจัดการศักยภาพของทรัพยากร ด้าน Hardware, Software, Network
4.3 มีการกาหนดสมรรถนะตามบทบาทหน้าที่ที่จาเป็น (Functional Competency) ของบุคลากรด้าน
IT ทุกคน ประเมินสมรรถนะตามบทบาทหน้าที่ และจัดทาแผนเพิ่มสมรรถนะรายบุคคล
4.4 มีการดาเนินการตามแผนเพิ่มสมรรถนะและศักยภาพ (Hardware, software, network) และ มี
การประเมิน วิเคราะห์ผลการดาเนินตามแผน
4.5 มีการนาผลการวิเคราะห์มาปรับปรุงแผนเพิ่มศักยภาพให้ดีขึ้น
5. การจัดการห้อง Data Center
5.1 มีการจัดการ Data Center ของโรงพยาบาลให้มีความมั่นคงปลอดภัย
5.2 ห้อง สถานที่ และสิ่งแวดล้อมต้องจัดให้มีความปลอดภัยจากบุคคลภายนอก
5.3 มีระบบปูองกันอัคคีภัย ได้แก่ ระบบตรวจจับควัน ระบบเตือนภัย เครื่องดับเพลิงและระบบดับเพลิง
อัตโนมัติ
5.4 มีระบบปูองกันความเสียหายของข้อมูลและระบบ ซึ่งรวมถึง ระบบไฟฟูาสารอง (UPS) ระบบ RAID,
Redundant Power supply, Redundant Server
5.5มีการวิเคราะห์ความเหมาะสม มาตรฐาน ความเสี่ยงและความคุ้มค่า ในการเลือกใช้อุปกรณ์
คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครือข่าย ห้อง Data Center

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า41/56


การประเมินระดับการพัฒนามาตรฐานระบบบริการสุขภาพ
เกณฑ์มาตรฐานระบบบริการสุขภาพแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้

ระดับ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ
1 ระดับพื้นฐาน หมายถึงสถานพยาบาลเน้นการมีเปูาหมายของงาน ทบทวนปัญหา /
ความเสี่ยงการให้บริการและการดูแลสถานที่และสภาพแวดล้อม หามาตรการปูองกันและ
ดาเนินการต่อเนื่อง มีแผนการบริหารความเสี่ยงด้านโครงสร้าง กายภาพ และมีกาลังคน
ที่ชัดเจน ซึ่งสถานพยาบาลเองต้องมีการประเมินองค์กรตนเองครบทุกด้าน (เกณฑ์ใน
ระดับพื้นฐาน คือ มีด้านใดด้านหนึ่งจาก 9 ด้าน มีคะแนนต่ากว่า 60%)
2 ระดับพัฒนา หมายถึงสถานพยาบาลมีการเชื่อมโยงการบริหารความเสี่ยง การประกันคุณภาพ
และการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องเข้าด้วยกันทุกหน่วยภายในองค์กร เน้นการนาข้อมูล
วิชาการ และมาตรฐานในแต่ละด้านมาสู่การปฏิบัติ มีการติดตาม บริการที่เน้นผู้รับบริการเป็น
ศูนย์กลาง อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสถานพยาบาลมีการประเมินองค์กรตนเองครบทุกด้าน มี
คะแนนทุกด้านตั้งแต่ร้อยละ 60 ขึ้นไป
3 ระดับคุณภาพ หมายถึงสถานพยาบาล ได้ปฏิบัติตามข้อกาหนดของมาตรฐานระบบบริการ
สุขภาพครบถ้วน มีรูปธรรมของการพัฒนาที่ชัดเจน จนเกิดวัฒนธรรมคุณภาพในองค์กร
ซึ่งสถานพยาบาลมีการประเมินตนเองครบทุกด้าน (เกณฑ์ที่ได้ระดับคุณภาพ คือ คะแนนใน
แต่ละด้าน ทั้ง 9 ด้านไม่ต่ากว่า 85 %)

คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า42/56


คู่มือ มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปีพ.ศ. 2564 หน้า43/56

You might also like